posttoday

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) สาเหตุที่ไม่เป็นที่นิยม

02 พฤศจิกายน 2559

เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้วที่ภาครัฐให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

โดย...ดร.ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์

เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้วที่ภาครัฐให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยมุ่งหวังให้คนไทยที่อยู่ในวัยแรงงานออมเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง เพื่อนำไปใช้เป็นทุนรอนดำรงชีวิตในยามเกษียณ

แต่จวบจนปัจจุบัน แบบแผนการออมด้วย RMF ยังคงครอบคลุมคนไทยเพียงส่วนน้อย โดยข้อมูลในปี 2557 ระบุว่ามีจำนวนบัญชี RMF อยู่ประมาณ 0.41 ล้านบัญชี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.07 ของประชากรไทยวัยแรงงานเท่านั้น และโดยส่วนตัวผมมองว่ายอดบัญชี RMF ในปี 2559 ก็ไม่น่าจะแตกต่างจากเมื่อสองปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ

แม้บางท่านได้ให้มุมมองว่าคนไทยมีเงินออมเพื่อเกษียณอยู่แล้วโดยเป็นการออมรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ RMF แต่คำกล่าวนี้ก็ยากที่จะนำมาเชื่อมโยงถึงการออมเพื่อเกษียณได้ เนื่องจากสินทรัพย์อื่นไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก กองทุนรวม ทองคำแท่ง และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้นนั้น ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อโอนถ่ายความมั่งคั่งไปในยามเกษียณ กล่าวคือการยินยอมให้ไถ่ถอนได้หลังจากอายุ 55 ปีเป็นต้นไป

จากการที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับทัศนคติต่อ RMF และสิทธิลดหย่อนภาษีมาบ้าง ก็พบว่ามีบางปัจจัยที่ทำให้ RMF ไม่เป็นที่นิยม ทั้งนี้ หากจำแนกผู้ที่ไม่ได้ลงทุนใน RMF ออกเป็น 3 ประเภทตามระดับรายได้ ได้แก่ (1) เงินได้อยู่ในขั้นที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ (2) เงินได้ในขั้นภาษีสูงสุดร้อยละ 10 (3) เงินได้ในขั้นภาษีสูงสุดร้อยละ 20 และ 30 แล้ว จะพบว่าแต่ละกลุ่มมีเหตุผลในการ “ไม่ลงทุนใน RMF” แตกต่างกันไป

กลุ่มแรกซึ่งอยู่ในขั้นได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้และไม่ได้ลงทุนใน RMF นั้น ผู้ให้สัมภาษณ์ประมาณครึ่งหนึ่งระบุว่าไม่ทราบว่ามีกองทุนประเภทนี้อยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เนื่องจากโดยหลักการแล้ว RMF นั้นคือกองทุนรวมที่ผนวกสิทธิลดหย่อนภาษีและเงื่อนไขการใช้สิทธิเข้าไป ทำให้ผู้ที่มีรายได้ในกลุ่มนี้ไม่ได้สนใจถึงการใช้เครื่องมือการเงินในการลดหย่อนภาษี ส่วนที่เหลือระบุว่าพอทราบรายละเอียดแต่ไม่สนใจเนื่องจากไม่ต้องเสียภาษีบ้าง ไม่มีเงินออมบ้าง หรือไม่ชอบเงื่อนไขบ้าง เป็นต้น

กลุ่มที่สอง ซึ่งมีเงินได้ในขั้นภาษีสูงสุดร้อยละ 10 นั้น ส่วนใหญ่ราวร้อยละ 90 จะทราบเกี่ยวกับ RMF แล้ว แต่สาเหตุที่ไม่ซื้อ RMF นั้นเนื่องจากการมีเงินออมไม่เพียงพอ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของผู้ให้สัมภาษณ์ในกลุ่มนี้ โดยจำเป็นต้องนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือกันไว้สำหรับความต้องการใช้เงินอื่นๆ ในระยะสั้น เช่น ค่าเทอมลูก ซื้อรถ ซื้อบ้าน เป็นต้น

กลุ่มที่สาม ซึ่งมีเงินได้ในขั้นภาษีสูงสุดร้อยละ 20 และ 30 นั้นแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องไม่รู้จักกองทุนหรือมีเงินออมไม่พอ แต่สาเหตุของการไม่ซื้อกองทุน RMF นั้นมีสองประการ ประการแรกคือไม่ชอบเงื่อนไข โดยระบุว่า RMF ต้องมีการถือครองระยะยาวอีกหลายสิบปีจนกว่าตนเองจะอายุครบ 55 ปี ทำให้อาจจะมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนในช่วงก่อนเกษียณ อีกทั้งมองว่ากองทุน RMF ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้ ทำให้การลงทุนแบบอื่นมีความน่าสนใจมากกว่า

เหตุผลอีกประการคือตนเองได้ใช้สิทธิลดหย่อนอื่นจนฐานภาษีลดมาในระดับที่พอใจแล้ว โดยผู้ให้สัมภาษณ์ในกลุ่มนี้อ้างถึงการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในส่วนดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ และการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเช่นเดียวกัน

แม้ว่า RMF กับ LTF จะไม่เหมือนกันในแง่ของนโยบายลงทุน กล่าวคือ RMF มีนโยบายให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ระดับความเสี่ยงต่ำคือการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น พันธบัตรรัฐบาล ไปถึงสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงคือหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น ขณะที่ LTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งจะมีสองแบบกว้างๆ คือลงทุนในหุ้นไทยราวร้อยละ 90 - 95 ของเงินกองทุน และลงทุนในหุ้นไทยแบบจำกัดสัดส่วนราวร้อยละ 70 - 75 ของเงินกองทุน แต่ในทางปฏิบัติกองทุนทั้งสองประเภทนี้เป็นสิ่งที่ “ทดแทนกันได้” ในระดับหนึ่ง

เนื่องจากในเชิงการวางแผนการเงินแล้วการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงจะเหมาะกับเป้าหมายระยะยาว ทำให้ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มักพิจารณาเปรียบเทียบกันระหว่าง RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น กับ LTF และผลก็มักออกมาในลักษณะที่ว่า หากมีเงินออมจำกัดก็จะเลือกลงทุนใน LTF ก่อน เนื่องจาก LTF มีระยะเวลาการถือครองสั้นกว่าเพียง 5 - 7 ปีปฏิทิน ขณะที่ RMF ต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีในกรณีของผู้ที่เริ่มต้นทำงานหรือวัยกลางคน

เมื่อการเลือกใช้ LTF กระทำจนเต็มสิทธิแล้ว ก็จะหันมาพิจารณาลงทุนใน RMF เป็นลำดับต่อไป แต่ทว่าด้วยฐานภาษีที่ลดระดับลงมามากแล้ว เช่น เดิมเงินได้สุทธิอยู่ในขั้นภาษีร้อยละ 20 พอใช้สิทธิลดหย่อนต่างๆ แล้วทำให้เงินได้สุทธิอยู่ในขั้นภาษีร้อยละ 10 ดังนั้น ความคุ้มค่าในการใช้ RMF จึงลดลงตามไปด้วย

หากมองในเชิงนโยบายภาครัฐแล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวล เนื่องจากภาครัฐมองว่านโยบายการให้สิทธิลดหย่อนภาษีแต่ละเรื่องนั้นแตกต่างกัน อย่างไรก็ดี ประชาชนผู้เสียภาษีมองว่ากองทุนทั้งสองประเภทเป็นตัวเลือกในการลดหย่อนภาษี จึงให้เลือกใช้สิทธิในเรื่องที่ตนเองจะได้รับประโยชน์สูงสุดก่อน

กล่าวโดยสรุปคือการที่ RMF ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนั้น เป็นเพราะโครงสร้างแรงงานไทยซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้ในขั้นที่ไม่ต้องเสียภาษี พฤติกรรมการเงินที่ให้ความสำคัญกับความต้องการใช้เงินระยะสั้นมากกว่าระยะยาว รวมทั้งการมองว่ามีเครื่องมือลดหย่อนภาษีที่ใช้ทดแทน RMF ได้

ข่าวล่าสุด

“สีหศักดิ์” เตรียมประชุมอาเซียนนัดพิเศษที่มาเลเซีย ถกปมกัมพูชา 22 ธ.ค.นี้