ซอสปรุงรสไทยปรีดา ครองใจเพื่อนบ้าน
บริษัท ไทยปรีดา ผู้ผลิตและทำตลาดซอสปรุงรสและน้ำจิ้มสำเร็จรูปของคนไทยภายใต้แบรนด์สินค้า มังกรทอง ราชา และ Thai Prestige
โดย...ปิยะนุช ผิวเหลือง
บริษัท ไทยปรีดา ผู้ผลิตและทำตลาดซอสปรุงรสและน้ำจิ้มสำเร็จรูปของคนไทยภายใต้แบรนด์สินค้า มังกรทอง ราชา และ Thai Prestige รวมถึงรับจ้างผลิตสินค้า (โออีเอ็ม) ที่ดำเนินกิจการมายาวนานกว่า 64 ปี
ปราณิตา รัชตะวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยปรีดา บอกว่าบริษัทเริ่มต้นจากการผลิตน้ำปลาแต่ในปัจจุบันได้ลดการผลิตส่วนนี้ลงเป็นเพราะต้นทุนที่สูง พร้อมหันพัฒนาสินค้าให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น อาทิ สินค้าซอสปรุงรส น้ำจิ้มไก่ น้ำจิ้มซีฟู้ด ฯลฯ โดยผลิตสินค้าทั้งภายใต้แบรนด์ของตนเองสัดส่วน 20-30% และโออีเอ็มให้กับแบรนด์ต่างๆ สัดส่วน 70-80%
สำหรับสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองในประเทศใช้ชื่อสินค้า มังกรทอง เจาะตลาดระดับบน (พรีเมียม) และ ราชา จับตลาดทั่วไป ส่วนตลาดต่างประเทศใช้ชื่อสินค้า Thai Prestige โดยมีสัดส่วนการทำตลาดในและต่างประเทศ 50% เท่ากัน ล่าสุดได้เข้าตลาดในสหรัฐอเมริกา ยุโรป เกาหลี และญี่ปุ่น พร้อมขยายการทำตลาดในอาเซียน ทั้ง สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา สิงคโปร์ พร้อมอยู่ระหว่างเจรจากับเวียดนาม พร้อมวางแผนเข้าตลาดมาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ด้วย
ขณะที่การทำตลาดในอาเซียนนั้น เริ่มต้นที่ประเทศกัมพูชามานานกว่า 6 ปีแล้ว โดยมีทั้งส่งออกสินค้าแบรนด์ของตัวเอง และเป็นตัวแทนผลิตสินค้าในกัมพูชาจำนวน 2 ราย โดยสินค้าที่ขายดีในกัมพูชา ได้แก่ ซอสหอยนางรม น้ำจิ้มปรุงรส และซอสพริก
นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำสินค้าเข้าไปทำตลาดในลาว โดยสินค้าขายดีในตลาดนี้ คือ น้ำปลา และวางแผนเข้าเมียนมาและเวียดนามซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา คาดมีทิศทางชัดเจนช่วงปลายปี ในการวางแผนผู้ผลิตซอสพริกกลิ่นต้มยำ ซึ่งเห็นได้ว่าการผลิตสินค้าจะขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ
ปราณิตา เสริมว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดอาเซียนโดยรวมไม่แตกต่างกันมากนัก อย่างในประเทศกัมพูชาจะมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงการทำโปรโมชั่น ทั้งลดราคา หรือมีของแถม เช่นเดียวกันกับประเทศไทย ส่วนผู้บริโภคลาว จะมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์สูงกว่า สินค้าไหนใช้ดียังซื้อซ้ำไม่เปลี่ยน ซึ่งเป็นตลาดที่บุกยากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน เพราะมีแบรนด์สินค้าอื่นก่อนหน้านี้ที่ทำการตลาดอยู่แล้ว ด้านสิงคโปร์ ผู้บริโภคชอบลองสินค้าใหม่ แต่ต้องมีการอธิบายการใช้งานอย่างถูกต้อง ขณะที่อุปสรรคในการทำการตลาดในเมียนมา คือต้นทุนทางการตลาดเพราะสินค้ายังไม่เป็นที่รู้จักเนื่องจากเริ่มต้นเข้าไปช่วงแรก
สำหรับโยบายบริษัทในอีก 5 ปีข้างหน้า วางแผนเข้าตลาดยุโรป และจีน เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ รวมถึงวางแผนเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในตะวันออกกลางมากขึ้น โดยปัจจุบันส่งออกไปยังอิสราเอล ที่มียอดสั่งซื้อสูงกว่า 40 ตู้/ปี โดยมองกระแสผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับซอสปรุงรสว่ายังคงสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง แต่ต้องเหมาะสมกับตลาดที่ต้องการบุก ซึ่งหากปรับปรุงให้ผลิตภัณฑ์ใช้ได้ง่ายขึ้นเท่าไหร่ ก็จะสามารถอยู่ในกระแสได้นานขึ้นเท่านั้น
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า สินค้าอาหาร หรือซอสปรุงรสต่างๆ เป็นสินค้าแฟชั่น สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของคนในยุคนั้น หากตีโจทย์ตลาดที่บุกได้แตก การตอบรับกลับมาย่อมเป็นไปในทางที่ดี


