ธุรกิจร้านอาหารเปลี่ยนมือคึก แข่งสร้างแบรนด์หวังโตยาว
เป็นปีที่ธุรกิจร้านอาหารมีความคึกคักอีกหนึ่งปี ล่าสุดร้านเจฟเฟอร์กับเอ แอนด์ ดับบลิว ก็ออกมาประกาศแผนเชิงรุก เพื่อผลักดันให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและมียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
โดย...ทีมข่าวธุรกิจตลาดโพสต์ทูเดย์
เป็นปีที่ธุรกิจร้านอาหารมีความคึกคักอีกหนึ่งปี เพราะหลังจากมีการซื้อขายกิจการในธุรกิจร้านอาหารหลายแบรนด์ใน 1-2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปีนี้ผู้ประกอบการใหม่เริ่มออกมาประกาศแผนธุรกิจว่าจะเดินไปในทิศทางไหนต่อจากนี้ ล่าสุดร้านเจฟเฟอร์กับเอ แอนด์ ดับบลิว ก็ออกมาประกาศแผนเชิงรุก เพื่อผลักดันให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและมียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ในส่วนของแผนการดำเนินงานของร้านเจฟเฟอร์ หลังจากบริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ตั้งบริษัท เวฟ ฟู้ด กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าลงทุนในบริษัท เจฟเฟอร์ เรสโตรองต์ ปีนี้ก็ออกมาประกาศแผนเชิงรุกทันที ด้วยการกางแผน 5 ปี จะต้องมีจำนวนร้านเจฟเฟอร์เปิดให้บริการไม่ต่ำกว่า 240 สาขาทั่วประเทศ จากปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการทั้งหมด 79 สาขา
แมทธิว กิจโอธาน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะใช้งบลงทุนประมาณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะใช้งบลงทุนประมาณ 1,300 ล้านบาท ขยายสาขาร้านเจฟเฟอร์ให้ครบ 240 สาขา โดยในส่วนของปีนี้มีแผนที่จะขยาย 15 สาขา ซึ่งแต่ละสาขาจะใช้งบลงทุนเฉลี่ยที่ประมาณ 8 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนที่จะทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้ธุรกิจบันเทิงในเครือเป็นตัวต่อยอดธุรกิจ เพื่อสร้างแบรนด์ของร้านเจฟเฟอร์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยสิ้นปีคาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,100 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 15% และเพิ่มเป็น 2,300 ล้านบาท ในอีก 5 ปีนับจากนี้
นอกจากจะให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศแล้ว ตลาดต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนก็มีความสนใจที่จะนำเจฟเฟอร์เข้าไปขยายธุรกิจเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีอย่างเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งช่วงแรกของการเข้าไปขยายธุรกิจจะเปิดร้านเจฟเฟอร์ที่ 2-3 สาขาก่อน เพื่อเป็นการทดลองตลาด
ด้านเอ แอนด์ ดับบลิว ก็ออกมาประกาศแผนเชิงรุกเช่นกัน ด้วยการเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
วิชัย เจริญธรรมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น บริษัทในเครือนิปปอนแพ็ค (ประเทศไทย) กล่าวว่า หลังจากกลุ่มเอ็นพีพีฯ ได้รับสิทธิแฟรนไชส์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ "เอ แอนด์ ดับบลิว" (A & W) จากสหรัฐ เพื่อทำตลาดในไทยต่อจากผู้ได้รับสิทธิเดิมที่เป็น กลุ่มมาเลเซีย พร้อมกับใช้เงินในการซื้อสาขาทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทย 21 สาขา ด้วยเม็ดเงินกว่า 100 ล้านบาท ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2558 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังได้สิทธิในการทำตลาดในประเทศเมียนมาและ สปป.ลาว ซึ่งแนวทางดังกล่าวถือเป็นการปัดฝุ่นแบรนด์เอ แอนด์ ดับบลิว ให้กลับมาแข่งในธุรกิจอาหารจานด่วนในเมืองไทยอีกครั้งในรอบ 5 ปี จากก่อนหน้าที่กลุ่มผู้ได้รับสิทธิเดิม ไม่ได้เน้นทำตลาดในไทยมากนัก เพราะมุ่งเน้นทำตลาดในมาเลเซียเป็นหลัก โดยในปี 2559 เตรียมงบลงทุนทั้งหมดกว่า 260 ล้านบาท แบ่งเป็นงบขยายลงทุนด้านสาขา 160 ล้านบาท ทั้งเปิดสาขาใหม่ 6 สาขา และปรับปรุงสาขาเดิมประมาณ 9 สาขา จากทั้งหมด 21 สาขา และงบด้านการตลาดกว่า 100 ล้านบาท ในการอัดทุกสื่อ เพื่อให้แบรนด์เอ แอนด์ ดับบลิว กลับมาแจ้งเกิดรอบใหม่
ในด้านของกลยุทธ์การทำตลาดมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้ามายังกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มวัยทำงานตอนต้นอายุ 25-35 ปี ซึ่งหลังจากที่ได้เจรจากับเจ้าของแบรนด์เอ แอนด์ ดับบลิว ในสหรัฐ ให้เอ แอนด์ ดับบลิว ในไทยสามารถมีเมนูข้าวได้ ก็มั่นใจว่าจะเมนูอาหารหลักได้รับความสนใจมากขึ้น และผลักดันให้ยอดขายเอ แอนด์ ดับบลิว ปีนี้เติบโตกว่า 100% จากในอดีตอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท/ปี เพิ่มเป็น 200 ล้านบาท ในปีนี้
วิชัย กล่าวอีกว่า แผนธุรกิจระยะยาวบริษัทได้ตั้งเป้าจะเปิดร้านเอ แอนด์ ดับบลิว ให้ครบ 100 สาขา ภายใน 5 ปี แบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ 1.สาขาเต็มรูปแบบ พื้นที่ 200 ตร.ม. ในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า 2.สาขามาตรฐาน หรือสแตนด์อะโลน พื้นที่ 80-120 ตร.ม. เน้นทำเลชุมชน เขตธุรกิจ และ 3.คีออสก์ พื้นที่ 20-40 ตร.ม. ในสถานีบริการน้ำมัน โดยจะเน้นรูปแบบสแตนด์อะโลนเป็นหลัก เพราะเปิดได้ 24 ชั่วโมง
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศเมียนมาและ สปป.ลาว เบื้องต้นตั้งเป้าจะมี 5 สาขา เพราะเป็นตลาดเล็ก จากนั้นจะเน้นเปิดในหัวเมืองใหญ่ เช่น ย่างกุ้ง หลวงพระบาง และเวียงจันทน์ ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะเจรจากับเจ้าของแบรนด์เอ แอนด์ ดับบลิว เพื่อขอทำตลาดในกัมพูชาด้วย
ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจอาหารในไทยมีมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มเชนร้านอาหาร 6 หมื่นล้านบาท และกลุ่มร้านอาหารจานด่วนและเครื่องดื่ม 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งในส่วนของกลุ่มร้านอาหารจานด่วนและเครื่องดื่มประเภทไก่ทอดและเบอร์เกอร์ ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% ถือว่าอยู่ในระดับน่าพอใจท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว


