posttoday

เจาะกลุ่มอัญมณี-เครื่องประดับ เปิดโอกาสธุรกิจไทย

15 มกราคม 2559

อัญมณีและเครื่องประดับเป็นอีกธุรกิจที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญมาก และประเทศกลุ่มอาเซียนก็เป็นตลาดที่น่าสนใจ

โดย...ทีมข่าวประชาคมอาเซียน

อัญมณีและเครื่องประดับเป็นอีกธุรกิจที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญมาก และประเทศกลุ่มอาเซียนก็เป็นตลาดที่น่าสนใจ ที่ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสจะส่งออกสินค้าไปจำหน่ายมากขึ้นหลังเปิดเสรีอาเซียน

จักรกฤษณ์ ดวงพัสตรา อาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในอาเซียน โดยได้ระบุว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะทำให้เกิดความท้าทายหลายประการต่อวงการอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เริ่มจากการลดหรือยกเลิกภาษีอากรนำเข้าและส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากการนำเข้าวัตถุดิบจากอาเซียนมาใช้เป็นปัจจัยการผลิต แต่ผู้ประกอบการไทยก็ต้องเร่งพัฒนารูปแบบสินค้าและบริหารต้นทุนการผลิตให้เหมาะสมเพื่อส่งออกไปตลาดที่มีศักยภาพในภูมิภาคนี้ ตลอดจนประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

ขณะเดียวกันการปรับมาตรฐานสินค้าและมาตรฐานวิชาชีพให้เป็นรูปแบบเดียวกัน ก็อาจส่งผลต่อการทำมาตรฐานพลอย ทองคำ เงิน และมาตรฐานวิชาชีพ เช่น นักอัญมณีศาสตร์ ผู้ผลิตจะต้องปรับมาตรฐานคุณสมบัติของสินค้าให้ตรงกับรสนิยมของผู้บริโภค

“คนไทยนิยมทองคำที่บริสุทธิ์ 96.5% หรือ 23.16 กะรัต ทองคำจะมีสีเหลืองเข้ม เนื้อทองแข็ง เหมาะสำหรับนำมาทำเครื่องประดับ ส่วนตลาดอื่นในอาเซียนจะเน้นการใช้ทองคำที่บริสุทธิ์แตกต่างกันไป ผู้ผลิตจะต้องเรียนรู้การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ”

จักรกฤษณ์ อธิบายว่า นอกจากส่วนของภาคเอกชนที่จะต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว ภาครัฐก็จะต้องปรับกฎระเบียบข้อบังคับให้สอดคล้องกับระบบของอาเซียน เพื่อขจัดความเสียเปรียบของอุตสาหกรรมนี้ เช่น ปรับลดภาษีสรรพสามิตที่เรียกเก็บจากคริสตัลและอัญมณีบางประเภท การอำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจที่เข้ามาติดต่อการค้าในงานแสดงสินค้าในประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน แต่ออก ASEAN Travel Card for Business Persons เป็นต้น

นอกจากนี้ จะต้องปรับเทคนิคการตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปตลาดอาเซียน โดยการทำความเข้าใจโครงสร้างตลาด พฤติกรรมการค้าและการบริโภค และจัดการกลยุทธ์การตลาดส่งออก เป็นต้น

สำหรับพฤติกรรมการซื้ออัญมณีและเครื่องประดับของคนชาติอาเซียนนั้น จักรกฤษณ์ แจกแจงว่า ตลาดที่คนนิยมสินค้ากลุ่มนี้และมีการใช้จ่ายเพื่อซื้ออัญมณีและเครื่องประดับมาก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และอินโดนีเซีย

ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับสิงคโปร์มีมูลค่าราว 8.52 หมื่นล้านบาท คนนิยมซื้อเครื่องประดับทองมากกว่าเครื่องประดับเงิน เนื่องจากมักซื้อเพื่อการลงทุนและเก็งกำไร แต่ก็มีแนวโน้มซื้อเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับแฟชั่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาย่อมเยากว่า สามารถใช้ใส่ได้ทุกโอกาส โดยกลุ่มที่นิยมสินค้ากลุ่มนี้คือคนหนุ่มสาวและวัยทำงานอายุไม่เกิน 45 ปี

ส่วน ตลาดมาเลเซีย มีมูลค่า 376,300 ล้านบาท ชาวมาเลเซียชอบเครื่องประดับทองมากกว่าเครื่องประดับเงินเช่นกัน โดยเทศกาลที่มีการซื้อขายมากคือ เดือนถือศีลอดของมุสลิม ฮารีรายอ ตรุษจีน คริสต์มาส และงานแต่งงาน โดยส่วนใหญ่การซื้อขายจะคึกคักช่วง 6 เดือนหลังของปี

ด้าน ตลาดบรูไน มีมูลค่าประมาณ 2,480 ล้านบาท ชาวบรูไนนิยมทองรูปพรรณ เครื่องประดับทอง และหากเป็นเครื่องประดับเงินจะชอบเครื่องประดับที่มีขนาดใหญ่และหนากว่าไทย แต่มีน้ำหนักเบา และไม่นิยมซื้อต่างหู เนื่องจากผู้หญิงบรูไนจะสวมผ้าโพกศีรษะ ช่วงที่มีการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสูงคือช่วงครึ่งปีหลัง แต่การซื้อขายแต่ละครั้งมีมูลค่าไม่มาก เพราะคนบรูไนระมัดระวังการใช้จ่าย

ขณะที่ตลาดอินโดนีเซียที่มีประชากรมากที่สุดในอาเซียน มีมูลค่าตลาดอัญมณีและเครื่องประดับ 1.36 ล้านล้านบาท ชาวอินโดนีเซียจะมีรสนิยมคล้ายชาวบรูไนคือชอบทองรูปพรรณ เครื่องประดับทอง และหากเป็นเครื่องประดับเงินจะเน้นเครื่องประดับลวดลายดอกไม้ ดวงดาว และรูปทรงเรขาคณิต สินค้าที่นิยมมากคือ กำไลข้อมือ แหวน สร้อยคอ และที่กลัดเสื้อ ชอบเครื่องประดับขนาดใหญ่และหนากว่าไทย แต่ต้องมีน้ำหนักเบา คนชาตินี้มักซื้อทองและเครื่องประดับเพื่อลงทุนและเก็งกำไร โดยกลุ่มลูกค้าหลักคือผู้หญิง

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไปยังตลาดกลุ่มอาเซียนมากขึ้นจักรกฤษณ์ แนะนำว่าผู้ประกอบการไทยและภาครัฐจะต้องพยายามรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทย ร้านค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย รวมถึงส่งเสริมการสร้างแบรนด์ไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างคุณค่าในระดับอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันจะต้องประชาสัมพันธ์เครื่องหมายรับรองของไทย ตลอดจนจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ฝึกอบรมพัฒนาผู้ประกอบการไทย ผู้ผลิต นักการตลาด และนักออกแบบไทยให้เข้าใจวัฒนธรรมการบริโภค วัฒนธรรมการทำธุรกิจ การใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีให้มากขึ้น

นอกจากนี้ ควรผลิตสินค้าเครื่องประดับเงิน พลอยเจียระไน และเครื่องประดับทองคำ เน้นน้ำหนักเบา ขนาดเล็ก รูปแบบทันสมัย และเน้นการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย มีมาตรฐานรับรองคุณภาพ ราคาถูกกว่านำเข้าจากยุโรปและสหรัฐ ต้องใช้สวมใส่ได้ทุกโอกาส มีคุณภาพมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกทั้งแบบซื้อเป็นเซตและซื้อแยก และที่สำคัญต้องสร้างแบรนด์สินค้าไทย

“ควรพิจารณาปรับปริมาณเนื้อทองเป็นเครื่องประดับทอง 18-22 กะรัต หากต้องการจับกลุ่มลูกค้าตลาดหลัก และทำเครื่องประดับทองแท้เพื่อจับตลาดเฉพาะกลุ่ม และการตั้งราคาสินค้าควรจะแพงกว่าเครื่องประดับจากจีน แต่ถูกกว่าจากยุโรปและสหรัฐ” จักรกฤษณ์ แนะนำทิ้งท้าย

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา