เปิดคูหาเสรีสุดรอบ 25 ปี ลุ้นเลือกตั้งพม่าพลิกโฉม
โดย...อัจฉรา อัชฌายกชาติ
โดย...อัจฉรา อัชฌายกชาติ
การเลือกตั้งเมียนมาเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ได้ชื่อว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่เปิดเสรีมากที่สุดในรอบ 25 ปี ซึ่งอาจพลิกโฉมหน้าทางการเมืองของประเทศก็ว่าได้ ท่ามกลางการจับตาว่าจะมีการสร้างความเป็นเอกภาพให้เกิดขึ้นภายในประเทศได้อย่างไร
จากรายงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมียนมา เปิดเผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคการเมืองลงสมัครทั้งสิ้น 93 พรรค มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในทุกสภาราว 6,189 คน ทั้งนี้มีประชาชนทั้งประเทศราว 52 ล้านคน แต่มีเพียง 33 ล้านคนเท่านั้นที่มีสิทธิเลือกตั้ง
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเดินทางไปใช้สิทธิแต่เช้าตรู่ บางรายเข้าแถวรอก่อนเปิดคูหาเลือกตั้งในเวลา 6 โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่นเมียนมา โดยหวังให้คะแนนเสียงสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับประเทศ
ถึงแม้ว่าจะมีพรรคการเมืองหลายพรรคเข้าชิงตำแหน่ง แต่มีเพียง 2 พรรคใหญ่เท่านั้นที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ได้แก่ พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (ยูเอสดีพี) หรือรู้จักในนาม พรรคสิงห์ขาว ที่มีประธานาธิบดี“เต็งเส่ง” และกองทัพให้การหนุนหลัง อีกพรรคหนึ่งคือ พรรคยูงทอง หรือพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) นำโดย “อองซานซูจี”
อเล็กซานเดอร์ แลมป์สดอร์ฟ หัวหน้าผู้สังเกตการณ์โครงการสังเกตการณ์การเลือกตั้งของสหภาพยุโรป (อียู อีโอเอ็ม) ระบุว่า แม้กระบวนการเลือกตั้งจะเป็นแบบเก่า แต่ขณะนี้ยังไม่พบข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ทั้งนี้ทางคณะต้องเก็บข้อมูลจากหน่วยเลือกตั้งอื่นด้วย เพื่อวิเคราะห์ว่าหน่วยเลือกตั้งในนครย่างกุ้งสามารถสะท้อนแนวโน้มในหน่วยอื่นได้หรือไม่
โคโคกี ผู้นำกลุ่มการเมือง 88 เจเนอเรชั่น กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 1990 ที่ถูกยกเลิกไป รวมถึงการเลือกตั้งปี 2010 ที่พรรคเอ็นแอลดีกับพรรคของกลุ่มชาติพันธุ์ถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วม รวมถึงการเลือกตั้งปี 2012 ที่มีการชิงชัยเพียง 45 ที่นั่งเท่านั้น
“สิ่งสำคัญสำหรับเมียนมาในขณะนี้ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในชาติ การเลือกตั้งคือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนผ่านของประเทศ ผมหวังว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างยุติธรรมที่สุด และทุกคนจะเคารพและยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้”
ด้าน อ่องดิน อดีตนักโทษทางการเมือง ที่ปัจจุบันเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองระบุว่า การเลือกตั้งมีความน่าเชื่อถือสูง และคาดว่าผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของสภาภูมิภาค หรือสภารัฐ จะสามารถประกาศได้ภายในสัปดาห์นี้
“หากเกิดความผิดพลาดขึ้น ส่วนใหญ่จะมาจากตัวบุคคลและระบบการเมืองท้องถิ่นมากกว่า”
เจสัน คาร์เตอร์ ประธานศูนย์คาร์เตอร์ องค์กรส่งเสริมสิทธิมนุษยชนที่ไม่แสวงผลกำไรของสหรัฐ เปิดเผยว่า การที่ผู้สังเกตการณ์สามารถเข้าถึงหน่วยเลือกตั้งต่างๆ ได้ สะท้อนถึงการจัดการระบบเลือกตั้งที่ดีและโปร่งใส ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสำหรับการเป็นประชาธิปไตย แตกต่างจากปี 2010 ที่ไม่มีผู้สังเกตการณ์เลย
“เราส่งผู้สังเกตการณ์จำนวน 62 คน กระจายไปทุกๆ เขตการเลือกตั้งของสภาภูมิภาค สิ่งที่สัมผัสได้คือ การตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนชาวเมียนมา ที่ตระหนักถึงความสำคัญของระบบเลือกตั้ง”
ในส่วนของกลุ่มชาติพันธุ์อย่าง รัฐชิน ซึ่งได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาล เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่มีสิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ วานนี บาวี ชาวรัฐชิน ระบุว่า ประชาชนออกไปใช้สิทธิในครั้งนี้มากกว่าเมื่อครั้งปี 2010 เสียอีก
“แม้ผมจะลงคะแนนให้พรรคเอ็นแอลดี แต่ผมยังมีความหวังอยู่ลึกๆ ว่า พรรคของกลุ่มชาติพันธุ์จะชนะ และผมอยากให้กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มอื่นเข้าร่วมในข้อตกลงนี้ด้วย”
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า การสร้างความเป็นเอกภาพในประเทศถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับอองซานซูจี เนื่องจากกองทัพและกลุ่มชาติพันธุ์เคยสู้รบและเจรจาระหว่างกันมาก่อน จึงพอรู้จักแนวทางของกันและกัน ในขณะที่อองซานซูจีไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์มาก่อน
ส่วนระบบการเลือกตั้งเมียนมาค่อนข้างแตกต่างและซับซ้อนจากระบบเลือกตั้งของไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากประชาชนต้องประทับเครื่องหมายถูกลงบนบัตรเลือกตั้ง 3 ใบ ที่เป็นตัวแทนของสภา 3 สภา
สภาแรก คือ สภาระดับชาติ หรือรัฐสภาของเมียนมา ซึ่งแยกย่อยได้อีก 2 สภา ได้แก่ วุฒิสภา หรือสภาชนชาติ ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 224 ที่นั่ง มาจากการเลือกตั้ง 168 ที่นั่ง เป็นสมาชิกวุฒิสภารัฐละ 12 คน และมาจากกองทัพ 56 ที่นั่ง ส่วนสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาประชาชน มีสมาชิก 440 ที่นั่ง โดย 330 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งอำเภอละ 1 คน และอีก 110 ที่นั่งมาจากการแต่งตั้งจากกองทัพ
อีกสภาหนึ่ง คือ สภารัฐ หรือสภาภูมิภาค โดยมีทั้งสิ้น 7 เขต 7 รัฐ 6 พื้นที่ปกครองตนเอง และ 1 เขตปกครองตนเอง ซึ่งในแต่ละเขตมีสภาของตนเอง และในแต่ละอำเภอมีสมาชิกสภาภูมิภาคและรัฐ 2 คน รวมสมาชิกทั้งหมด 885 ที่นั่ง ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง 665 ที่นั่ง อีก 220 ที่นั่งมาจากกองทัพ
ทั้งนี้ สภาทั้ง 3 สภาจะส่งตัวแทนเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสภาละ 1 รายชื่อ ผู้ที่ได้คะแนนเสียงส่วนมากจะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ส่วนอีก 2 คนที่เหลือจะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
มีการคาดการณ์จากบรรดาผู้สังเกตการณ์ว่า ประธานาธิบดี เต็งเส่ง จะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้นำอีกครั้ง แต่มีแนวโน้มว่าจะดำรงตำแหน่งได้เพียงครึ่งวาระแรกเท่านั้น จากนั้นจึงส่งต่อตำแหน่งให้กับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ในครึ่งวาระหลัง หรือความเป็นไปได้อีกประการคือ ส่งต่อครึ่งวาระหลังให้กับอองซานซูจี
ส่วนตำแหน่งรองประธานาธิบดีอาจตกเป็นของตัวแทนจากพรรคเอ็นแอลดี และพรรคจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ อย่างเช่น กะเหรี่ยง ซึ่งในอดีตเคยมีรองประธานาธิบดีจากรัฐยะไข่และรัฐฉานมาก่อน
ทั้งนี้ รองประธานาธิบดีที่เป็นตัวแทนของกองทัพ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็น พล.ร.ต.ธูรา เต็ต ฉ่วย อดีตผู้บัญชาการทหารเรือของเมียนมา ซึ่งคาดว่าจะชนะในหน่วยเลือกตั้งหมู่เกาะโกโก เขตย่างกุ้ง
คาดว่ารัฐสภาชุดใหม่จะเป็นรูปเป็นร่างอย่างเป็นทางการ หลังรัฐสภาชุดเก่าหมดวาระในวันที่ 31 ม.ค. 2016


