กางอนุสัญญาภาษีซ้อน เสริมคล่องธุรกิจอาเซียน
โดย เบญจมาศ กุลกันติมาส กรรมการบริหารเคพีเอ็มจี ประเทศไทย [email protected]
โดย เบญจมาศ กุลกันติมาส กรรมการบริหารเคพีเอ็มจี ประเทศไทย [email protected]
อนุสัญญาความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน หรือที่เรามักจะเรียกสั้นๆ ว่า อนุสัญญาภาษีซ้อนเป็นการทำสัญญาแบบทวิภาคี เพื่อขจัดภาษีซ้ำซ้อนของภาษีที่เก็บจากเงินได้ตัวเดียวกันที่กิจการอาจต้องเสียภาษีให้มากกว่าหนึ่งประเทศอันเนื่องมาจากหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีภายในของแต่ละประเทศ
ทั้งนี้ อนุสัญญาภาษีซ้อนเป็นการตกลงกันให้ประเทศใดประเทศหนึ่งมีสิทธิเก็บภาษีเงินได้ประเภทใดได้บ้าง และให้อีกประเทศหนึ่งทำหน้าที่ขจัดภาษีซ้อน หรือบรรเทาภาระภาษีซ้ำซ้อนให้หมดไป
หนึ่งในมาตรการอำนวยสิทธิประโยชน์ตาม AEC Blueprint ในส่วนของมาตราภาษีจะเน้นให้ประเทศในอาเซียนเร่งจัดทำอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างกันให้ครบทุกประเทศ
ในปัจจุบันมาเลเซียกับเวียดนามเป็นประเทศที่มีการทำอนุสัญญาภาษีซ้อนครบกับทุกประเทศสมาชิกหากไม่นับกัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศใดเลย
รองลงมาคือสิงคโปร์กับไทย โดยสิงคโปร์ยังไม่ได้ทำกับลาว ขณะที่ไทยยังไม่ได้ทำกับบรูไน ส่วนประเทศอื่นๆ ก็ลดหลั่นกันมา (ดูตารางสรุป)
ทั้งนี้ อนุสัญญาภาษีซ้อนที่ไทยทำไว้กับประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่ได้ทำไว้เกิน 10 ปี ยกเว้นเมียนมาซึ่งเป็นประเทศล่าสุดในอาเซียนที่ไทยเข้าทำอนุสัญญาภาษีซ้อนด้วย โดยมีผลบังคับใช้ในปี 2555
เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดเผยอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างไทยกับสิงคโปร์ฉบับแก้ไขใหม่ ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าทั้งสองรัฐบาลจะได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกัน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ อนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างไทยกับสิงคโปร์ฉบับปัจจุบันได้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ปี 2519 ตอนนี้ก็ก้าวเข้าปีที่ 40 แล้ว ในฉบับแก้ไขมีหลายประเด็นที่มีการแก้ไขให้เป็นไปในแนวเดียวกับอนุสัญญาภาษีซ้อนที่ประเทศไทยทำกับประเทศอื่นๆ ในช่วงหลัง 10 ปีที่ผ่านมา
จะขอยกตัวอย่างเช่น ข้อ 5 นิยามของสถานประกอบการถาวร ในฉบับใหม่ได้มีการเพิ่มเติมโดยให้หมายถึงการให้บริการรวมทั้งบริการให้คำปรึกษาผ่านลูกจ้างหรือบุคคลอื่นที่ถูกว่าจ้างมาโดยเฉพาะ ในโครงการเดียวติดต่อกันมากกว่า 183 วันใน 12 เดือน
ในปัจจุบันมีการใช้บริการคำปรึกษาระหว่างประเทศมากขึ้น และยิ่งเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งมีการแก้ไขกฎระเบียบภายในเพื่อลดอุปสรรคขั้นตอนการอนุญาตให้แรงงานจากประเทศสมาชิกสามารถเข้ามาทำงานในประเทศได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างเสรี จะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการให้บริการให้คำปรึกษาผ่านลูกจ้างมากขึ้น การแก้ไขในประเด็นนี้จะทำให้กิจการสามารถพิจารณาได้ง่ายขึ้นว่า กิจการจะมีภาระภาษีในประเทศที่ตนส่งลูกจ้างไปทำงานให้เมื่อไร
อีกข้อหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญคือ ข้อ 12 ค่าสิทธิ ซึ่งมีการแก้ไขโดยกำหนดอัตราภาษีที่ประเทศที่ค่าสิทธิเกิดขึ้นสามารถจัดเก็บได้จากเดิมในอัตราเดียวไม่เกินร้อยละ 15 เป็น 3 อัตราคือ ไม่เกินร้อยละ 5, 8 และ 10 ตามประเภทของค่าสิทธิ และเพิ่มนิยามค่าสิทธิให้ รวมถึงสิทธิในการใช้อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชย กรรม หรือ วิทยาศาสตร์ ซึ่งมีผลให้สามารถจัดเก็บภาษีจากค่าตอบแทนในการได้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าว หรือค่าเช่านั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่บริษัทไทยจ่ายค่าเช่าอุปกรณ์ไปให้บริษัทสิงคโปร์ ตามประมวลรัษฎากรไทย บริษัทผู้จ่ายในไทยต้องหักภาษีในอัตราร้อยละ 15 แต่ภายใต้อนุสัญญาภาษีซ้อนฉบับปัจจุบัน บริษัทไทยได้รับยกเว้นให้ไม่ต้องหักภาษีแต่อย่างไร
แต่เมื่ออนุสัญญาภาษีซ้อนฉบับใหม่มีผลบังคับใช้บริษัทไทยต้องหักภาษีเมื่อจ่ายค่าเช่าไปสิงคโปร์ในอัตราร้อยละ 8 ข้อนี้จึงเป็นข้อหนึ่งที่การคุ้มครองลดลง กิจการจึงต้องพิจารณาว่าจะมีผลกระทบต่อสัญญาในปัจจุบันและที่จะทำในอนาคตหรือไม่
การปรับปรุงอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก คือ การเปลี่ยนผู้ที่จะมีสิทธิใช้ประโยชน์จากอนุสัญญาภาษีซ้อนจากเดิม
“ผู้รับเงินได้” เป็น “เจ้าของประโยชน์ในเงินได้” ดังนั้นการพิจารณาว่าผู้ใดจะได้รับสิทธิประโยชน์จากอนุสัญญาภาษีซ้อนจึงไม่ใช่แค่ดูว่าใครเป็นผู้รับเงินได้ แต่จะต้องดูว่าเจ้าของประโยชน์ในเงินได้นั้นเป็นใคร
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางส่วนของอนุสัญญาที่ไทยทำกับสิงคโปร์ หากกิจการมีรายการระหว่างประเทศกับประเทศที่มีการทำอนุสัญญาภาษีซ้อนกับไทย ก็ควรที่จะศึกษาและทำความเข้าใจอนุสัญญาภาษีซ้อนของแต่ละประเทศเพื่อจะได้ใช้สิทธิประโยชน์ได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ในปัจจุบันไทยได้ทำอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศต่างๆ รวมสมาชิกอาเซียนด้วยมีทั้งหมด 60 ประเทศ


