70 ปี สงครามโลกครั้งที่ 2 รอยทางแห่งความขัดแย้งยุคใหม่
“เรียนรู้จากประวัติศาสตร์” เป็นประโยคที่บอกให้ก้าวเดินต่อไปโดยเรียนรู้จากความผิดพลาด อย่างไรก็ตาม
โดย...ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์
“เรียนรู้จากประวัติศาสตร์” เป็นประโยคที่บอกให้ก้าวเดินต่อไปโดยเรียนรู้จากความผิดพลาด อย่างไรก็ตาม “การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์” กำลังก่อหวอดให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่
ผ่านมา 70 ปีแล้วกับการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมานับเป็นวันที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม และในวันที่ 2 ก.ย.ที่จะถึงนี้จะเป็นการครบรอบ 70 ปี การสิ้นสุดสงครามโลกอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม “ทางเดินแห่งความขัดแย้ง” ไม่ได้สิ้นสุดลงไปด้วย โดยเฉพาะกับ 3 ประเทศใหญ่ในเอเชียที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มากที่สุดอย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า แม้ “หนังสือเรียน”ของญี่ปุ่นจะมีบันทึกเรื่องราวความโหดร้ายที่กองทัพญี่ปุ่นเคยทำไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามหนังสือเรียนของญี่ปุ่นมักไม่ลงลึกในรายละเอียด และใส่ไว้เพียงฟุตโน้ตข้างท้ายเท่านั้น รวมถึงในญี่ปุ่นเอง ยังมีการสร้างให้คนรุ่นใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความเป็น “ชาตินิยม” อีกด้วย
เช่นเดียวกับจีนและเกาหลีใต้ที่มีความเป็นชาตินิยมสูง โดยจีนมักใช้ญี่ปุ่นเป็นศัตรูร่วมในการสร้างชาตินิยมและใช้เป็นศัตรูในจินตนาการเพื่อรวบรวมประชาชนไว้กับพรรคคอมมิวนิสต์ ในขณะที่เกาหลีใต้ได้ใช้ความรู้สึกเป็นเหยื่อของสงครามและการถูกห้อมล้อมด้วยมหาอำนาจในการปลุกชาตินิยม
ซอนยอล ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยยอนเซย์ ในกรุงโซล เกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ความเป็นชาตินิยมของทั้ง 3 ชาติ ประกอบกับการคืนชีพของเศรษฐกิจจีน ส่งผลให้ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์กลับมามีบทบาทมากขึ้น และความเป็นชาตินิยมก็สร้างให้ทั้ง 3 ชาติมีความเกลียดชังซึ่งกันและกัน
“ทั้ง 3 ประเทศนี้มีความเป็นชาตินิยมสูงมาก” ซอนยอล กล่าว
ซอนยอล เปิดเผยอีกด้วยว่า ประเด็นเรื่อง “หนังสือเรียน” นับเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ก่อความขัดแย้งระหว่างประเทศ และกลายเป็นประเด็นทางการเมือง โดยก่อนหน้านี้ทั้งจีนและเกาหลีใต้ต่างเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเขียนหนังสือเรียนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ถูกต้อง
“พวกเรามีความทรงจำเกี่ยวกับการกดขี่จากญี่ปุ่น เช่นเดียวกับจีน แต่ญี่ปุ่นกลับหันไปยกย่องช่วงสร้างชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะที่ทั้ง 3 ประเทศต่างก็มีการตีความทางประวัติศาสตร์ต่อประวัติศาสตร์เดียวกันที่แตกต่างกัน” ซอนยอล กล่าว
ในขณะเดียวกัน ไฟแนนเชียลไทมส์ ระบุว่า ประเด็นพิพาทเรื่องเกาะต่างๆ เช่น เกาะเซนคาคุ หรือเกาะเตียวหยูในภาษาจีน ที่ทั้งญี่ปุ่นและจีนต่างแสดงกรรมสิทธิ์ อาจเป็นชนวนความรุนแรง ซึ่งเคยเกือบเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2012
ตรงกันข้ามกับทั้ง 3 ชาติในเอเชียที่ความสัมพันธ์ยังคงย่ำแย่ในปัจจุบัน ด้านยุโรป ที่เยอรมนีเองก็เป็นผู้รุกรานและกระทำโหดร้ายทารุณต่อหลากหลายชาติไม่ต่างกัน กลับไม่เกิดความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่สงครามดังกล่าวขึ้น
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ในปัจจุบันหลายประเทศได้ยกย่องสรรเสริญเยอรมนีให้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะเหตุการณ์ “วิลลี่ บรันต์ คุกเข่า” ในปี 1970 ที่นายกรัฐมนตรี วิลลี่ บรันต์ ของเยอรมนีคุกเข่าต่อหน้าอนุสาวรีย์ชาวยิวในกรุงวอร์ซอ ของโปแลนด์ และชนะใจชาวโปแลนด์อย่างท่วมท้น
สำหรับโปแลนด์แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับเกาหลีใต้ ที่ถูกห้อมล้อมด้วยประเทศมหาอำนาจมากมาย ภายหลังจากการล่มสลายของคอมมิวนิสต์
อย่างไรก็ตาม เยอรมนีกลับเข้าไปช่วยเหลือโปแลนด์ให้สามารถเข้าร่วมสหภาพยุโรป (อียู) และองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ท่ามกลางประชาชนสองชาติที่ยังกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย
นอกจากนี้ เอพีระบุว่า แม้เนเธอร์แลนด์จะเคยถูกกองทัพนาซีรุกราน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเนเธอร์แลนด์และเยอรมนีนับเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดในนาโต้และอียู รวมถึงยังมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางกลิ่นความตายของชาวยิวนับแสนคนในค่ายของนาซีที่ตั้งขึ้นในเนเธอร์แลนด์
70 ปีต่อจากนี้...โลกจะเดินทางไปสู่ความขัดแย้งตามที่ 70 ปีที่ผ่านมาประสบพบเจอ หรือจะเรียนรู้จากประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง


