"อุ้มบุญ"ความคลุมเครือด้านกฎหมายและศีลธรรม
กฎหมายอุ้มบุญยังถกไม่เคลียร์หลายประเทศ สื่อนอกชี้ไทย-อินเดีย แหล่งเช่าครรภ์ของโลก
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
ประเด็นเรื่องเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์ ซึ่งคู่สามีภรรยาชาวออสเตรเลียได้ว่าจ้างให้สาวไทยตั้งครรภ์แทนโดยอาศัยเทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ จุดกระแสให้นานาชาติหันมาทบทวนกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นเรื่องกฎหมายและจริยธรรม
ทั้งนี้ กฎระเบียบหรือกฎหมายที่นำมาบังคับใช้ในเรื่องการอุ้มบุญทั่วโลกนั้น ก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เนื่องจากการอุ้มท้องแทนผู้อื่นนั้น ถือว่าผิดกฎหมายไม่สามารถกระทำได้ทุกกรณีในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส สวีเดน สเปน โปรตุเกส บังแกเรีย ซาอุดิอาระเบีย รวมถึงประเทศมุสลิมหลายประเทศ ขณะที่บางชาติอนุญาตให้มีการอุ้มบุญเพื่อการกุศลหรือไม่ใช่การอุ้มบุญในเชิงพาณิชย์ได้ อาทิ บางรัฐในสหรัฐ บางรัฐของออสเตรเลีย แคนาดา (ยกเว้นรัฐควิเบก) เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สหราชอาณาจักร และอิสราเอล อย่างไรก็ตาม บางประเทศ ตัวอย่างเช่น ยูเครน รัสเซีย จอร์เจีย และอินเดีย กำหนดให้การอุ้มบุญสามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนประเทศไทยนั้นเปิดโอกาสให้มีการอุ้มบุญที่ไม่ใช่เพื่อการค้าได้ ทว่าผู้ที่รับตั้งท้องแทนนั้นต้องเป็นญาติที่มีสายเลือดเดียวกับคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องการมีลูกด้วยเทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้การอุ้มบุญกลายมาเป็นธุรกิจสีเทาที่คาบเกี่ยวเรื่องจริยธรรมและศีลธรรม ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการขายไข่ของหญิงสาวในตลาดมืด การทำลายตัวอ่อนหรือเอมบริโอของมนุษย์จำนวนมากในกระบวนการคัดเลือกเพศเด็ก แม้กระทั่งการค้ามนุษย์เพื่อนำผู้หญิงมาตั้งครรภ์แทนผู้ว่าจ้าง ซึ่งเคยเป็นข่าวครึกโครมในหน้าหนังสือพิมพ์ของไทยเมื่อปี 2011 ที่พบหญิงชาวเวียดนามและจีนหลายคนถูกจับภายในบ้านหลังหนึ่งระหว่างตั้งครรภ์ โดยบางคนระบุว่าถูกหลอกให้มารับจ้างอุ้มบุญในไทยและถูกกักขังไว้ภายในบ้านที่เกิดเหตุดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ธุรกิจนี้ก็ยังได้รับความสนใจจากคู่สมรสที่มีบุตรยากหรือไม่สามารถมีบุตรได้จากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ชาวอเมริกัน ชาวยุโรป ชาวออสเตรเลีย หรือแม้แต่ชาวจีนที่มีฐานะดีที่ต้องการคัดเลือกเพศเด็ก เนื่องจากการประกาศใช้นโยบายลูกคนเดียวที่ผ่านมาของจีนด้วย โดยประเทศจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่คู่สมรสนิยมใช้บริการอุ้มบุญ ได้แก่ สหรัฐ อินเดีย ไทย ยูเครน และรัสเซีย ทว่าลูกค้าในธุรกิจนี้ส่วนใหญ่มักจะใช้บริการอุ้มบุญในประเทศไทยและอินเดีย ด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายที่มีราคาประหยัดกว่า
ทั้งนี้ สำนักข่าวบีบีซีอ้างรายงานจากองค์กรไม่แสวงหากำไรด้านการอุ้มบุญระดับนานาชาติ แฟมิลี่ ทรู เซอร์โรกาซี ว่า ค่าใช้จ่ายในการอุ้มบุญในสหรัฐ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 1 – 1.5 แสนเหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยในไทยและอินเดียจะอยู่ที่ประมาณ 4.7 – 7 หมื่นเหรียญสหรัฐเท่านั้น
ขณะนี้ประเทศอินเดียถือเป็นแหล่งจ้างการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด จากรายงานของเว็บไซต์ข่าว เอ็นวายเดลี่นิวส์ ดอทคอม เปิดเผยว่า หญิงสาวชาวอินเดียกว่า 50 ราย ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางอินเดียตะวันตก “ให้เช่าครรภ์” ด้วยเทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์จากผู้ว่าจ้างที่มาจากสหรัฐ อังกฤษ ไต้หวัน และอื่นๆ เพื่อแลกกับค่าตอบแทนจำนวนมหาศาล บางครั้งมากกว่าเงินรายได้จากการทำงานนานถึง 15 ปี ในอาชีพอื่นๆ เสียอีก
อย่างไรก็ตาม งานในรูปแบบดังกล่าวก็มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่ตามมา รวมถึงอาจเกิดผลกระทบทางด้านจิตใจจากความผูกพันและการพลัดพรากจากเด็กที่อยู่ในครรภ์ จนอาจจะเกิดเป็นปัญหาโดยเฉพาะด้านกฎหมายตามมาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศ หลายกรณี
นอกจากประเด็นที่กล่าวข้างต้นแล้ว ผู้เชี่ยวชาญยังกังวลด้วยว่า อาจจะเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก เช่น การทอดทิ้งเด็กที่เกิดมามีปัญหาสุขภาพหรือร่างกายไม่สมบูรณ์เหมือนเช่นกรณีน้องแกมมี การเลี้ยงดูเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญภายหลังการหย่าร้างของคู่สมรส เป็นต้น
แม้ประเด็นการรับจ้างอุ้มบุญจากคู่สมรสชาวต่างชาติที่เป็นชายจริงหญิงแท้จะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอนด้านจริยธรรมและกฎหมายในหลายประเทศ ทว่ายังพบด้วยว่า ธุรกิจอุ้มบุญดังกล่าวยังขยายการบริการไปสู่กลุ่มรักร่วมเพศและผู้ที่ยังโสดที่ต้องการมีทายาทสืบสกุล ซึ่งกฎหมายในหลายประเทศอนุญาตให้รับบุตรบุญธรรมได้ แต่ไม่อนุญาตให้ว่าจ้างผู้อื่นมาอุ้มบุญแทน กระทั่งอินเดียซึ่งเป็นแหล่งรับจ้างตั้งครรภ์สำคัญของโลก ยังไม่อนุญาตให้กลุ่มรักร่วมเพศ คนโสด หรือผู้ที่ยังไม่แต่งงาน ใช้บริการการอุ้มบุญในประเทศของตนอีกด้วย
บรรยายภาพ : สามีภรรยาชาวออสเตรเลียได้ว่าจ้างให้สาวไทยตั้งครรภ์แทน


