ภาษีกับการทำงานในพม่า
วันนี้พม่ายังคงต้องอาศัยความรู้และทักษะต่างๆ จากชาวต่างชาติเพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานในประเทศ
ภาษีกับการทำงานในพม่า
วิรัตน์ ศิริขจรกิจ กรรมการบริหาร เคพีเอ็มจี ประเทศไทย [email protected]
วันนี้พม่ายังคงต้องอาศัยความรู้และทักษะต่างๆ จากชาวต่างชาติเพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานในประเทศ เนื่องจากจำนวนแรงงานท้องถิ่นที่มีทักษะในพม่าตอนนี้ยังมีจำนวนไม่มากพอที่จะรองรับการลงทุนจากต่างชาติได้ ดังนั้นบริษัทต่างชาติส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะส่งพนักงานต่างชาติเข้าไปทำงานในพม่าและถ่ายทอดทักษะต่างๆ ให้แรงงานท้องถิ่น
ในเรื่องของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของพม่ากับการทำงานของพนักงานต่างชาตินั้น ประเด็นที่ว่าพนักงานต่างชาติจะต้องเสียภาษีในพม่าหรือไม่ และถ้าหากต้องเสีย จะต้องเสียภาษีในอัตราเท่าใด ในเบื้องต้นการพิจารณาสถานะทางภาษีของพนักงานคนนั้นอาจแบ่งออกได้เป็นสองกรณี ดังนี้
1.ในกรณีที่ชาวต่างชาติเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในพม่า (Resident Foreigner) คือบุคคลที่พำนักอยู่ในพม่า มาไม่น้อยกว่า 183 วันในปีภาษีนั้นๆ นับตั้งแต่ วันที่ 1 เม.ย.-31 มี.ค. ของทุกปี โดยจะเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า 1-20% ของเงินได้ที่ได้รับจากทั้งในและ นอกประเทศ
2.ในกรณีที่ชาวต่างชาติเป็นผู้ไม่มีถิ่นที่อยู่ในพม่า (Non-Resident Foreigner) คือบุคคลที่พำนักอยู่ในพม่าไม่ถึง 183 วันนั่นเอง โดยจะเสียภาษีในอัตรา 35% ของเงินได้ที่ได้รับมาจากการทำงานในพม่าเท่านั้น ยกเว้นในกรณีที่บุคคลดังกล่าวทำงานให้แก่บริษัท ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการลงทุนของชาวต่าวชาติ (MFIL : Myanmar Foreign Investment Law, 2012) และบริษัทดังกล่าวได้รับสิทธิประโยชน์การลงทุนให้พนักงานต่างชาติเสียภาษีในอัตราก้าวหน้าที่อัตรา 1-20% ของเงินได้
การส่งพนักงานต่างชาติเข้าไปทำงานในพม่านั้น มีหลายลักษณะ ในที่นี้จะยกตัวอย่างในสองกรณี กรณีแรกเป็นกรณีส่งพนักงานเข้าไปทำงานเป็นครั้งคราว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทผู้ให้บริการ เช่น ให้บริการตรวจสอบ ซ่อมบำรุง ด้านเทคนิค หรืองานวิศวกรรมต่างๆ ในกรณีนี้ตามหลักทั่วไปพนักงานในกรณีดังกล่าวต้องเสียภาษีในพม่าในเงินได้ที่ได้รับมาจากการทำงานในพม่าถึงแม้ว่าพนักงานคนดังกล่าวจะเป็นลูกจ้างของบริษัทต่างชาติ และมีการจ่ายเงินเดือนในต่างประเทศก็ตาม เพราะหลักการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในพม่านั้น คือการจัดเก็บจากเงิน ได้ที่ได้มาจากการทำงานในพม่าโดยไม่พิจารณา ว่าจะชำระเงินกันที่ไหน
อย่างไรก็ดี ในกรณีที่สามารถนำอนุสัญญาภาษีซ้อนมาปรับใช้ได้ พนักงานต่างชาติในกรณีเดียวกันนั้นอาจไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ในพม่าก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่บริษัทไทยส่งพนักงานไทยไปทำงานให้บริการตรวจสอบ ซ่อมบำรุง ในพม่าเป็นระยะเวลาสามเดือน ในกรณีนี้เนื่องจากพม่ามีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย และตามอนุสัญญาดังกล่าววางหลักไว้ว่าผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศหนึ่งจะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในอีกประเทศหนึ่งก็ต่อเมื่อพำนักอยู่ในประเทศนั้นเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 183 วันในปีภาษีนั้นๆ ประกอบกับเงื่อนไขอื่นบางประการ ดังนั้นในกรณีนี้พนักงานไทยคนดังกล่าวอาจไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในพม่าก็ได้เนื่องจากทำงานในพม่าเป็นระยะเวลาไม่ถึง 183 วันในปีภาษีนั้นๆ
กรณีที่สองคือ กรณีพนักงานต่างชาติมีสถานะเป็นบุคคลต่างชาติที่มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีทั้งในต่างประเทศและในพม่า อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่บริษัทต่างชาติ ส่งพนักงานเข้าไปทำงานในบริษัทหรือสำนักงานสาขาในพม่าเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 183 วันในปีภาษีนั้นๆ ซึ่งพนักงานต่างชาติคนดังกล่าวอาจมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ทั้งสองประเทศ แต่ใน กรณีที่สามารถนำเอาอนุสัญญาภาษีซ้อนมาปรับ ใช้ได้ ก็จะต้องดูข้อกำหนดในอนุสัญญาภาษีซ้อน แต่ละฉบับว่ามีหลักการพิจารณาเป็นอย่างไร เพื่อจะวิเคราะห์ว่าในท้ายที่สุดบุคคลดังกล่าวจะต้องเสียภาษีในประเทศใด
จากประสบการณ์ของสำนักงานในการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหลังจากพม่าเปิดประเทศพบว่า หลายบริษัทประสบปัญหามากมายเกี่ยวกับการยื่นแบบ ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านั้นอาจก่อให้เกิดความรับผิดในทางภาษีแก่พนักงานต่างชาติได้ ดังนั้นการวางแผนล่วงหน้าก่อนส่งพนักงานไปทำงานจะช่วยลดความเสี่ยงและปัญหาต่างๆ ในทางภาษีที่อาจเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย ทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้พนักงานว่าการไปทำงานในพม่าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านภาษีแก่ตนอีกด้วย
ข้อมูลที่ได้กล่าวมาข้างต้นถือเป็นเพียงหลักเกณฑ์พื้นฐานในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในพม่าเท่านั้น ดังนั้นในการวางแผนการจัดการภาษีที่เกี่ยวข้องกับการส่งพนักงานไปทำงานในพม่า จึงเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายภาษีของพม่าเป็นผู้ให้คำแนะนำ เนื่องจากเป็นการยากที่จะทำความเข้าใจและศึกษากฎหมายภาษีของต่างประเทศได้ด้วยตนเอง.


