จีนกร้าวฟิลิปปินส์รุกล้ำน่านน้ำทะเลจีนใต้
จีนฉุนฟิลิปปินส์กระทำการอย่างย่ามใจ ล่วงล้ำน่านน้ำในทะเลจีนใต้ ลั่นจะต้องได้รับความอับอาย
จีนฉุนฟิลิปปินส์กระทำการอย่างย่ามใจ ล่วงล้ำน่านน้ำในทะเลจีนใต้ ลั่นจะต้องได้รับความอับอาย
สถานทูตจีน โดย ซูเสี่ยวฮวย รองผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์นานาชาติแห่ง China Institute of International Studies ออกบทความพิเศษ กรณีฟิลิปปินส์ ล่วงล้ำน่านน้ำในทะเลจีนใต้ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ฟิลิปปินส์ซึ่งกระทำการอย่างย่ามใจ จักต้องได้รับความอับอาย
เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ทางหน่วยยามฝั่งของจีน ได้ทำการขับไล่เรือสัญชาติฟิลิปปินส์ 2 ลำซึ่งบรรทุกวัสดุก่อสร้างที่แล่นเข้าใกล้กับโขดหินโทมัสที่ 2 ในทะเลจีนใต้ (Second Thomas Shoal) หรือที่เรียกกันว่า “เหรินอ้าย เจี๊ยว” ในภาษาจีน ให้ออกจากบริเวณนั้นไป จากนั้น 20 วันต่อมา ทางการทหารของฟิลิปปินส์ยังได้ส่งเรือลำเลียงสัมภาระออกไปอีกหนึ่งลำแล่นไปยังจุดดังกล่าวอีกครั้ง บนเรือยังบรรทุกนักข่าวไว้อีกสิบกว่าคนอีกด้วย ซึ่งเรือของฟิลิปปินส์นั้นถือว่าได้บีบบังคับและทำการละเมิดต่อการบังคับใช้กฎหมายของทางหน่วยยามฝั่งฯ ด้วยการขนสัมภาระเสบียงและน้ำจืดขึ้นไปให้กำลังพลของฟิลิปปินส์ที่ประจำอยู่ ณ โขดหินดังกล่าว
ซึ่ง"ความสำเร็จ" ในการลอบส่งเสบียงในครั้งนี้ ได้ทำให้ทางการทหารของฟิลิปปินส์ย่ามใจเป็นอย่างมาก สื่อรายงานว่าหลังจากที่เรือเสบียงได้ทำสลัดหลุดจากการปิดล้อมของหน่วยยามฝั่งจีนและเข้าสู่เขตน้ำตื้นสำเร็จแล้ว ทั้งทหารเรือของฟิลิปปินส์และลูกเรือที่เหลือบนเรือต่างก็ปรบมือแสดงความยินดีกันอย่างเอิกเกริก ในขณะเดียวกัน ทางฟิลิปปินส์คงเข้าใจว่าการที่นำสื่อมวลชนนักข่าวขึ้นเรือไปด้วยเป็นการเดินหมากตาที่ดี ทั้งเป็นการ “เปิดเผยเต็มรูปแบบ” ว่าจีนกำลังขัดแย้งเรื่องเขตแดนทางทะเลด้วยอยู่ หรือกำลังทำการ “แข็งรังแกอ่อน” อยู่ก็ตาม ทั้งยังก่อให้เกิดสภาพมติมหาชนที่ไม่ดีต่อประเทศจีน และยังส่งผลกระทบต่อการไกล่เกลี่ยระหว่างสองประเทศที่กำลังได้รับการผลักดันอย่างเต็มที่อยู่ในตอนนี้อีกด้วย
ซึ่งที่ฟิลิปปินส์ยิ่งให้ความสนใจก็เพราะ การที่สหรัฐอเมริกากำลังโบกธงกู่ร้องสนับสนุนฝ่ายตนอยู่ หลังจากที่ล้มเหลวในการที่จะเข้าไปใกล้แนวโขดหินนี้เมื่อคราวก่อน อเมริกาไม่เพียงไม่ชี้ผิดให้ทางฝายฟิลิปปินส์ที่ก่อเหตุขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลับยัง “ออกหน้า” ให้อีกด้วย โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแถลงว่า การที่กองเรือของหน่วยยามฝั่งของจีนทำการขับไล่เรือของที่ฟิลิปปินส์ที่พยายามเข้าใกล้โขดหินแห่งนี้ ถือเป็นการยั่วยุและบ่อนทำลายความมั่นคงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้ทำการพลิกขาวให้เป็นดำ โดยบิดเบือนว่าฟิลิปปินส์ได้วางกำลังทหารประจำการไว้ที่แนวโขดหินนี้ “มาตั้งแต่ปี 1999 แล้ว” ประเทศจีนจึงไม่ควรแทรกแซงความพยายามในการทีจะรักษาสถานภาพในเขตดังกล่าว และด้วยความที่ปฏิบัติการส่งเสบียงในครั้งนี้มีเรือของสำนักข่าวเอพีคอยแล่นวนเวียนอยู่ใกล้ๆ พวกนักข่าวจึงพบว่ายังมีเครื่องบินที่ติดตรากองทัพเรือของสหรัฐอเมริกาอีก 1 ลำ บินวนอยู่เหนือเรือของฟิลิปปินส์ที่กำลังถูกขับไล่อยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี ทางฟิลิปปินส์ดีใจเร็วเกินไปแล้ว เพราะลักษณะของเรือ 2 ลำที่ทำการแล่นเข้าใกล้โขดหินฯ ในทั้ง 2 ครั้งนี้ก็ต่างกันอยู่ ในกรณีของเมื่อต้นเดือนมีนาคมนั้นเป็นการลำเลียงส่งวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจุดหมายก็ชัดเจนว่าเป็นการเสริมกำลังให้กับเรือรบที่ตั้งอยู่ ณ ชายหาด ในขณะที่คราวนี้เป็นการขนส่งข้าวสาร, อาหารกระป๋อง และน้ำจืด และประเทศจีนมีศักยภาพที่จะสกัดกั้นเรือของทางฟิลิปปินส์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งแม้แต่สื่อมวลชนของอเมริกาก็เคยได้พูดถึงไปแล้ว ว่ากองเรือของทางหน่วยยามฝั่งของจีนมีขนาดที่ใหญ่โตกว่าเรือเสบียงของฟิลิปปินส์มากมาย แต่ททว่าทางจีนก็ทราบดีว่าหากหักหาญทำการสกัดกั้น ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงภยันตรายที่จะเกิดขึ้น และจะนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายอย่างแน่นอน กอปรกับคราวนี้เรือเสบียงยังบรรทุกนักข่าวสื่อมวลชนมาด้วย ทางจีนจึงทำการควบคุมสถานการณ์อย่างระมัดระวังและยับยั้งชั่งใจ
แต่ที่อันตรายจริงๆ คือ ทางฟิลิปปินส์มองสถานการณ์เพียงด้านเดียว โดยไม่รู้ถึงจุดยืนของทางจีนอย่างแท้จริง ก่อนหน้าที่เรือของฟิลิปปินส์จะแล่นไปยังโขดหินดังกล่าว 1 วัน ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีนก็ได้กล่าวย้ำอีกครั้ง ในระหว่างกล่าวปราศรัยที่มูลนิธิโคเบอร์ (Körber Foundation) ในประเทศเยอรมัน ว่าประเทศจีนจะยึดมั่นที่จะรักษาอธิปไตย, ความปลอดภัย, และการพัฒนาผลประโยชน์ของชาติตน โดยประเทศอื่นอย่าได้หวังว่าจีนจะยอมทนกับผลลัพธ์ใดๆ ที่ทำให้เป้าหมายเหล่านี้ของจีนต้องเสียหาย; ซึ่งกับประเด็นของหลักการว่าด้วยอำนาจอธิปไตยและความสมบูรณ์ทางดินแดนของจีนนั้น ประเทศจีนจะไม่ก่อเรื่องก่อน แต่ก็ไม่กลัวที่จะเกิดเรื่อง และจะปกป้องสิทธิกับผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนอย่างเฉียบขาด ซึ่งคำกล่าวเหล่านี้ไม่ใช่เพียงลมปากเลื่อนลอยแต่อย่างใด และจีนก็หวังว่าประเทศอื่นๆ อย่างสหรัฐอเมริกาจะได้สติขึ้นมาบ้าง ว่าจีนจะไม่ทำตัวเป็น “ทรราชย์บ้าอำนาจ” แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ประวัติศาสตร์โศกนาฏกรรมที่โดนล่าเป็นเมืองขึ้นอย่างในยุคล่าอาณานิคมหลังสงครามฝิ่นต้องซ้ำรอยอีกอย่างเด็ดขาด อเมริกาจะเล่นบทบาทเป็น “ยากระตุ้น” ให้ฟิลิปปินส์อย่างไม่รับรู้ผิดชอบก็ได้ แต่คงไม่อาจช่วยเหลือฟิลิปปินส์ให้มายึดครองอาณาเขตของจีนได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียวในโลกความเป็นจริง มนุษยธรรมของชาติใหญ่คือมีผลลัพธ์ แต่ไหวพริบของชาติเล็กคืออย่าลืมตน ชาติพันธุ์ใดทำการอย่างย่ามใจ ก็จักต้องได้รับความอับอายในที่สุด


