Hokkaido Slow Drive 1
หลังจากเช็กอินเข้าที่พักและนอนเอาแรง 1 คืน ที่โรงแรม Sapporo Grand เรียบร้อยแล้ว เช้าวันถัดมาผมก็ลงมาคุยกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท MID เรื่องการเช่ารถ
หลังจากเช็กอินเข้าที่พักและนอนเอาแรง 1 คืน ที่โรงแรม Sapporo Grand เรียบร้อยแล้ว เช้าวันถัดมาผมก็ลงมาคุยกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท MID เรื่องการเช่ารถ บริการของ MID มีทั้งรถให้เช่าแบบขับเองและแบบมีคนขับให้ ใครสะดวกแบบไหนก็ใช้บริการได้ตามชอบใจ ผมเลือกรถยุโรปสำหรับการเช่าขับในรอบนี้ เพราะเป็นช่วงรอยต่อระหว่างหน้าหนาวกับใบไม้ผลิ ถนนหนทางอาจจะยังมีหิมะหลงเหลือ ผมเลยเลือกรถที่มีสมรรถนะสูงอย่าง AUDI Q3 ทาง MID ก็แสนจะดีเตรียม Baby Car Seat มาให้ผมเรียบร้อย แต่ก่อนที่จะเช่ารถได้ ท่านจะต้องเตรียมการหลายอย่าง อย่างแรก คือ ท่านต้องมีใบขับขี่สากลเสียก่อน การทำใบขับขี่สากลนั้นง่ายมาก เพียงแค่เตรียมบัตรประชาชนพร้อมสำเนาใบขับขี่พร้อมสำเนา หนังสือเดินทางพร้อมสำเนา รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 ใบ และเงิน 505 บาท ไปที่กรมการขนส่งทางบกตรงสถานีรถไฟฟ้าจตุจักร ใช้เวลาทำแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อยแล้ว ใบขับขี่สากลของท่านมีอายุการใช้งาน 1 ปี และเป็นเอกสารสำคัญที่สุดในการเช่ารถขับในต่างประเทศ ถ้าไม่มีก็หมดสิทธิขับครับ
อย่างที่สอง คือ การจองรถ หลายท่านเลือกไปจองเอาข้างหน้า แต่ผมขอแนะนำให้ท่านจองให้เรียบร้อยตั้งแต่ที่เมืองไทยไปเลย เพราะว่าบ่อยครั้งที่ท่านอาจจะไม่ได้ประเภทของรถตามความต้องการท่าน โดยเฉพาะท่านที่ไปกับครอบครัวและมีสัมภาระเยอะ เวลาจองรถท่านก็จะต้องเลือกประเภทของรถไปด้วยเลย โดยปกติเขาจะมีการแบ่งประเภทรถคร่าวๆ คือ รถนั่งส่วนบุคคลขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ (ขึ้นอยู่กับซีซี) รถครอบครัวและรถอเนกประสงค์ ซึ่งแต่ละบริษัทก็จะมีตัวย่อกำกับประเภทรถเพื่อให้เข้าใจง่าย แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การเลือกประเภทรถไม่สามารถระบุรุ่นของรถได้ ขึ้นอยู่กับว่าในวันที่เราจองไปนั้นมีรถรุ่นที่เราอยากได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทำความเข้าใจและทำใจไว้ก่อนเลย เวลาได้รับรถจะได้ไม่หงุดหงิดเสียอารมณ์ครับ
เมื่อท่านมาถึงญี่ปุ่นแล้ว ท่านก็แสดงใบจองรถพร้อมใบขับขี่สากลให้กับเจ้าหน้าที่ของบริษัทรถเช่า ท่านสามารถเลือกรับรถได้ทั้งที่สนามบินหรือในเมือง ขึ้นอยู่กับความสะดวกและการวางแผนของท่าน รวมถึงสภาพร่างกายของท่านด้วย เช่น ในกรณีของผมที่นอนบนรถไฟมาทั้งคืนถึงจะสบายกว่าการนอนบนเครื่องบินก็ตาม แต่ว่ามันก็ยังไม่พร้อมเต็มที่ๆ จะขับรถ ผมเลยเลือกพักผ่อนก่อน 1 คืน แล้วค่อยรับรถในเช้าวันรุ่งขึ้น การคิดราคาค่าเช่ารถนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละเจ้าและปัจจัยหลายๆ อย่างทั้งจำนวนวัน ขนาดของรถ และค่าประกัน อย่างที่ผมเช่าจะรวมค่าประกันอุบัติเหตุไปด้วยเลยในราคาค่าเช่า แต่บางแห่งเขาจะแยกค่าประกันออกมาเพื่อให้ราคาค่าเช่าดูไม่สูงคนจะได้มาเช่าเยอะๆ แต่สุดท้ายท่านก็ต้องจ่ายอยู่ดีเพราะเป็นระเบียบของเขา ก็อยู่ที่ว่าท่านจะเลือกเช่ากับคนที่บอกท่านหมดตั้งแต่ต้น (เลยดูแพง) หรือคนที่บอกท่านไม่หมดแล้วต้องไปจ่ายเพิ่มทีหลัง (ซึ่งอาจจะแพงกว่า) ก็พิจารณากันเองครับ
เมื่อขั้นตอนของเอกสารเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะพาท่านไปรับรถ ซึ่งก็จะมีขั้นตอนการตรวจสภาพรถว่าไม่มีร่องรอยความเสียหาย หลังจากนั้นก็จะถึงขั้นตอนสำคัญคือการสอนท่านใช้ Navigater เคล็ดความสำคัญของการขับรถเที่ยวมันอยู่ตรงนี้แหละครับ แต่ก่อนที่ท่านจะไปถึงขั้นตอนการใช้ Navigater ท่านต้องกำหนดแผนการเดินทางก่อน วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการหาแผนที่มาเปิดดูคู่ไปกับคู่มือท่องเที่ยว หรือจะใช้วิธีลัดก็เอารายการทัวร์ของหลายๆ บริษัทมาดูเป็นแนวทาง เพราะส่วนใหญ่ไปเหมือนๆ กันแหละ พอได้เส้นทางคร่าวๆ แล้วท่านค่อยมาลงรายละเอียดว่าจะเที่ยวที่ไหนเพิ่มเติมจนได้แผนการเที่ยวต้นฉบับ แล้วท่านถึงจะกำหนดได้ว่าจะเช่ารถกี่วันจากไหนไปไหน บางบริษัทที่มีสาขากระจายอยู่ตามเมืองใหญ่หรือเมืองสำคัญก็จะง่ายและประหยัด เพราะเช่าจากเมืองหนึ่งแล้วไปคืนที่อีกเมืองหนึ่งได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา แต่บางเจ้าที่มีสาขาไม่มากท่านก็อาจจะต้องจ่ายค่าคืนรถต่างสาขา (Drop off Charge) เพิ่มอีกต่างหาก อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสายการบินที่ท่านจองมา ถ้าเป็นการบินไทยเข้าออกที่จุดเดียวกัน คือ สนามบิน Chitose ก็ควรจะวางแผนขับรถเป็นวงกลม แต่ถ้าท่านใช้ JAL หรือ ANA ซึ่งมีเที่ยวบินไปลงหลากหลายสนามบิน ก็อาจจะคืนรถคนละสาขากับที่เราเช่าอาจจะจ่ายแพงกว่าแต่ประหยัดเวลา ค่าทางด่วนและน้ำมันถัวกันแล้วอาจจะถูกกว่าก็ได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับการคำนวณของท่านกันแล้วครับ
แต่ลำพังแผนการเที่ยวและแผนที่มันยังไม่พอสำหรับการขับรถเที่ยวครับ ท่านลองนึกดูว่า อยู่ๆ ไปขับรถในญี่ปุ่น ถึงจะเป็นพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเราก็ตามต่อให้วางแผนมาดีแค่ไหนก็ตาม ด้วยความที่เราไม่รู้จักถนนหนทางถึงรู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ไหน แต่เราจะไปให้ถึงตรงนั้นได้อย่างไร คำตอบคือเจ้าเครื่อง Navigater นี่แหละครับ วิธีใช้จะว่าง่ายก็ง่าย ยุ่งก็ยุ่งครับ เพราะอย่างแรกเครื่อง Navigater มีมากมายหลายยี่ห้อและหลายรุ่น แต่ละรุ่นหน้าตาก็อาจจะแตกต่างกันไป บางรุ่นเป็นแบบกดปุ่ม บางรุ่นเป็นหมุน สุดที่เราจะคาดเดาได้ว่าจะไปเจอรุ่นไหน เอาเป็นว่าไม่ต้องไปตกใจครับ ขอให้ท่านเปรียบเทียบกับเครื่องเล่นดีวีดีก็แล้วกัน ไม่ว่ามันจะเป็นรุ่นไหนหน้าตาอย่างไร แต่สุดท้ายวิธีเล่นก็เหมือนกันหมด คือ ใส่แผ่นแล้วกดปุ่มเพลย์ เจ้าเครื่อง Navigater นี้ก็เช่นกันครับ หลักการเหมือนกันหมด คือ ป้อนจุดหมายปลายทางเข้าไป มันก็จะแสดงผลออกมาที่หน้าจอ มีทั้งเส้นทาง ระยะทาง ระยะเวลา ค่าทางด่วน (ถ้ามี) เรียกว่าไม่มีโอกาสหลงตราบเท่าที่ยังขับไปตามคำแนะนำของเครื่อง แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ เพราะถึงแม้เครื่อง Navigater จะมีภาษาอังกฤษให้เราเลือกก็ตาม แต่ชื่อสถานที่แต่ละแห่งมันอาจจะไม่มีหรือไม่ตรงกันกับความเข้าใจของเราก็ได้ ดังนั้นการป้อนข้อมูลโดยทั่วไป ถ้าไม่ใส่ชื่อสถานที่ ก็จะมีอีกวิธีก็คือการใส่เบอร์โทรศัพท์ซึ่งง่ายกว่า แต่ก็ยังมีปัญหาบ้างเหมือนกัน คือ บางที่มีหลายเบอร์แต่เบอร์ที่เราป้อนเข้าไปดันไม่ตรงกับที่มีในเครื่อง มันก็ไม่แสดงผลหรือแสดงผลผิดพลาดเพราะเครื่องดันไปสุ่มให้เราเองว่าเบอร์ใกล้เคียงกับที่นั่นที่นี่ แล้วก็พาเราหลงไปเลยก็มี หรือสถานที่เที่ยวบางแห่งก็ไม่มีเบอร์โทร เช่น ภูเขา ทะเลสาบ ต้นไม้ ฯลฯ แต่เรื่องแบบนี้มีรึที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้ เขาแก้ปัญหาเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ
ฉบับหน้าผมจะมาแนะนำเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ท่านขับรถเที่ยวในญี่ปุ่นได้แบบไม่มีหลงครับ


