posttoday

คุยเรื่องงูๆ

17 กุมภาพันธ์ 2556

หลังจากผ่านพ้นตรุษจีนอย่างเป็นทางการไปเพียงไม่กี่วัน ก็เข้าสู่ปีงูเล็กหรือเรียกกันแบบเต็มยศว่า “ปีมะเส็ง”

หลังจากผ่านพ้นตรุษจีนอย่างเป็นทางการไปเพียงไม่กี่วัน ก็เข้าสู่ปีงูเล็กหรือเรียกกันแบบเต็มยศว่า “ปีมะเส็ง”

กันอย่างเต็มตัว เราสามารถพบเห็นนักษัตรชนิดนี้ได้ตามภูเขา ป่าเขาลำเนาไพร ทุ่งนา หรือแม้กระทั่งในน้ำ ไม่ว่าจะพบเห็นที่ไหนก็มักเป็นที่ฮือฮา คนทุกเพศทุกวัยต่างมารุมล้อมดูการเคลื่อนไหวของสัตว์ชนิดดังกล่าว โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มักจะตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ ในรายที่กลัวงูก็ยังมิวายที่จะแอบสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ จึงเห็นได้ว่าในสายตาของคนทั่วไปแล้ว สัตว์เลื้อยคลานตัวนี้สร้างความรู้สึกหวาดกลัวและลี้ลับได้ในขณะเดียวกัน ทัศนคติของชาวจีนที่มีต่องูก็มีทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายคละเคล้ากันไป เราลองไปดูกันว่า “งู” เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงอะไรกันบ้าง

ยุคบรรพกาล บรรพบุรุษของชาวจีนอย่างฝูซี และหนี่ว์วา  ล้วนถูกวาดให้มีหน้าตาเป็นมนุษย์และมีร่างกายเป็นงู นั่นแสดงให้เห็นว่างูเคยเป็นโทเท็มของชาวจีนในยุคโบราณกาลมาก่อน และเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงพลังในการสืบพันธุ์และการให้กำเนิด จวบจนปัจจุบันยังปรากฏให้เห็นถึงศรัทธาในตัวงู ดังเห็นได้จากชาวชนบทที่อาศัยอยู่ในดินแดนทุรกันดารและผู้ที่อาศัยอยู่ในเขต ภูเขา บรรดาผู้สูงวัยมักจะลุกขึ้นมากราบไหว้งูทุกครั้งที่พบเห็น ในความเชื่อของพวกเขา หากมีงูอยู่ในบ้านย่อมหมายถึงวิญญาณบรรพบุรุษมาเยือนนั่นเอง

คุยเรื่องงูๆ

งูยังเป็นรูปลักษณ์ที่สำคัญของสัตว์ในตำนานอย่างมังกรอีกด้วย รูปลักษณ์ของมังกรเกิดจากการนำเอาลักษณะเด่นของสัตว์หลายชนิดมารวมเข้าด้วยกัน โดยมีงูเป็นส่วนประกอบหลัก อย่างเช่น คอมังกรและตัวมังกรล้วนนำมาจากงูทั้งสิ้น ดังนั้น สัตว์ที่ชาวจีนยุคโบราณให้ความเคารพกันย่อมเป็นงู ก่อนที่จะเป็นมังกร แต่หลังจากที่มังกรกลายเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ งูก็เริ่มลดความสำคัญลงมา เราจึงมักได้ยินชาวจีนเรียกงูว่าเป็น “มังกรน้อย”  หากเราไล่เรียงนักษัตรทั้ง 12 ตัว จะพบว่าความสำคัญของมังกรกับงูแตกต่างกัน เพราะนักษัตรงูอยู่ในลำดับที่ 6 รองจากมังกร มองจากการนำเอางูมาเป็น 1 ใน 12 นักษัตรถือว่าชาวจีนให้ความสำคัญกับสัตว์ชนิดนี้อย่างมาก โดยมองข้ามความดุร้ายและเรื่องราวในแง่ลบ เปรียบเหมือนกับการนำเอาหมูมาเป็นนักษัตรปีกุนที่มองข้ามนิสัยเกียจคร้าน สันหลังยาว ไม่รักษาสุขอนามัย ซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ดีของสัตว์ชนิดนี้

ในสมัยโบราณ ทั้งมังกรและงูต่างก็เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจ สังเกตจากลวดลายบนเสื้อของขุนนางและกษัตริย์ ขณะที่มังกรเป็นตัวแทนที่ผูกขาดโดยกษัตริย์ งูก็เป็นสัตว์มงคลที่เหล่าขุนนางนิยมชมชอบกัน เราจึงมักเห็นขุนนางใส่เสื้อที่ปักด้วยลวดลายของสัตว์ชนิดนี้ นอกจากนี้ ยังเป็นสัตว์ที่อยู่ในนิทานพื้นบ้านเรื่อง “นางพญางูขาว” นิยายรักอมตะระหว่างงูขาวกับบัณฑิตหนุ่มที่มีนามว่า สวี่เซียนสร้างความสะเทือนอารมณ์และดื่มด่ำไปกับความรักของทั้งคู่ ถือเป็นตัวแทนความรักที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมประเภทที่ไม่ใช่วัตถุระลอกแรกของประเทศในปี ค.ศ. 2006

ถ้าจะว่าไป งูถือเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของความเป็นมงคลนานัปการโดยสามารถจำแนกได้ดังนี้

สัญลักษณ์แห่งความมีโชคลาภ ความเป็นสิริมงคลและความศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่บางแห่งของประเทศมีความเชื่อที่ว่า หากในบ้านมีงู ย่อมแสดงถึงนิมิตหมายที่ดี

สัญลักษณ์แห่งการแสวงหาความรักและความสุข ดังสะท้อนให้เห็นจากตำนานรักอมตะ “นางพญางูขาว” ทั้งยังเป็นสัตว์มงคลที่สื่อถึงความมีอายุมั่นขวัญยืนเฉกเช่นเดียวกับเต่า

สัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง เชื่อกันว่างูมีอาณาจักรใต้พิภพ ซึ่งเป็นที่เก็บสมบัติพัสถานจำนวนมหาศาล ดังนั้น ใครที่อยากร่ำรวยจึงมักจะไปขอพรจากศาลเจ้างู

สัญลักษณ์ทางการแพทย์ที่รักษาโรคด้วยสมุนไพร เนื่องจากการแพทย์จีนพื้นบ้านใช้งูในการจำแนกความแตกต่างของสมุนไพรนานาชนิด

คุยเรื่องงูๆ

 

ขณะเดียวกัน มุมมองในแง่ลบต่อสัตว์ชนิดนี้ก็ปรากฏให้เห็นเช่นกัน อันดับแรกคงเป็นความเหี้ยมโหดและอำมหิตของสัตว์ชนิดนี้ คนจำนวนไม่น้อยมักเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกเพียงแค่ได้ยิน เรื่องราวเกี่ยวกับงู ซึ่งเป็นผลจากการเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรง ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความหน้าเนื้อใจเสือ ความเมินเฉยอันเป็นผลจากการเป็นสัตว์เลือดเย็น ยิ่งลักษณะนิสัยเช่นนี้ประกอบเข้ากับการเป็นสัตว์ที่ไม่มีแถบเยื่อใยประสาท เสียงในลำคอด้วยแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกสะพรึงกลัวสัตว์ชนิดนี้มากเป็นทวีคูณ ภาษิตเกี่ยวกับงูของชาวจีนมักมีความหมายในเชิงลบ และมีการเปรียบเปรยอิสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมว่า “สาวงามที่มีจิตใจดั่งอสรพิษ” หรือเรียกกันในภาษาจีนว่า “เหมยหนี่ว์เส่อ”  นั่นเอง

ทั้งนี้ งูยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการยากที่จะคาดเดา เนื่องจากเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ไร้ขา และมักเคลื่อนไหวไปมารวดเร็ว ไร้ร่องรอย จึงสร้างความรู้สึกลึกลับซับซ้อนเป็นเหตุให้คนบางกลุ่มเกิดความเลื่อมใส และก็เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นกัน

เป็นที่ทราบกันดีว่า ในยุคโบราณชาวจีนยังไม่สามารถรับมือกับอันตรายและการคุกคามของงูได้ เพื่อเป็นการผูกมัดใจงูให้มีคุณูปการต่อมนุษย์ ผู้คนจึงยกย่องให้เป็นเทพเจ้าและคอยกราบไหว้

เราจะสังเกตเห็นว่าชนเผ่ากลุ่มน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศมีข้อห้ามต่างๆ นานา เกี่ยวกับงู เช่น ห้ามพูดว่า “งูมีขา” ด้วยเกรงว่าหากเป็นจริงขึ้นมา งูก็จะวิ่งไล่ตามคน ห้ามเห็นงูผสมพันธุ์ ห้ามใช้นิ้วชี้งู ห้ามเห็นงูลอกคราบ ชนเผ่าแม้วในบางพื้นที่ถือว่าหากมีงูเลื้อยผ่านขบวนรับเจ้าสาว ถือเป็นเรื่องอัปมงคล ขณะที่ชาวอานฮุยในบางพื้นที่เชื่อว่าหากฝันเห็นงู แสดงว่ามีคนกำลังคิดปองร้ายอยู่

นอกจากนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถือเรื่องการเห็นงูสองหัว เพราะเชื่อว่าเป็นลางบอกเหตุไม่ดี เล่ากันว่าซุนซูเอ้าแห่งแคว้นจ้านกว๋อเคยเห็นงูสองหัวเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณถือเป็นนิมิตหมายที่ไม่ดี แต่เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นและตกอยู่ในเคราะห์ร้าย จึงฆ่างูตัวนั้นแล้วนำไปฝัง ไม่คาดคิดว่าการกระทำเช่นนั้นกลับพลิกผันโชคชะตาของเขาให้เปลี่ยนจากร้าย เป็นดี ภายหลังเขาได้เป็นเสนาบดีที่มีชื่อเสียงของแคว้นฉู่

ในวาระที่ปีมะเส็งเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ชาวจีนต่างมองสัตว์ตัวนี้ในฐานะที่เป็นสัตว์มงคลที่นำมาซึ่งความมั่งคั่งและความสมบูรณ์พูนสุข และเป็นสัตว์ที่นำโชคลาภมาสู่ชีวิตการงานและครอบครัว สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เรายังคงเห็นข้อห้ามและความเชื่อเกี่ยวกับงูในหมู่ชาวจีนบางกลุ่มที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันแม้วันเวลาจะผันผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดนักษัตรมะเส็งจึงอยู่คู่กับสังคมจีนจวบจนทุกวันนี้

 

ข่าวล่าสุด

Samsung ผนึก Google Gemini เผยโฉมครัว AI สุดล้ำที่ CES 2026