'ล้อการเมือง'กระฉ่อนโลก กระแสเสียดสีที่มากกว่ามุกตลก
นับเป็นอีกหนึ่งสีสันอยู่คู่สังคมไปเสียแล้ว สำหรับปรากฏการณ์ “ล้อเลียนและเสียดสีการเมือง”
นับเป็นอีกหนึ่งสีสันอยู่คู่สังคมไปเสียแล้ว สำหรับปรากฏการณ์ “ล้อเลียนและเสียดสีการเมือง”
โดย...ลภัสรดา ภูศรี
นับเป็นอีกหนึ่งสีสันอยู่คู่สังคมไปเสียแล้ว สำหรับปรากฏการณ์ “ล้อเลียนและเสียดสีการเมือง” ผ่านรูปแบบต่างๆ ทั้งบทความ การ์ตูน เพลงภาพยนตร์ การเดินขบวน ฯลฯ ที่ปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัยในทุกประเทศทั่วโลก
เพราะแม้แต่ในประเทศ “จีน” ที่ได้ชื่อว่า ทางการมีความเข้มงวดเรื่องการเซ็นเซอร์สื่อทุกชนิดที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมากที่สุด ก็ยังเกิดคลื่นใต้น้ำเสียดสีการเมืองให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
ผลงานล้อการเมืองหรือที่ทางการจีนหมายหัวว่าเป็น “ผลงานอันชั่วร้าย” ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุด คงหนีไม่พ้น การเสียดสีหลักจริยธรรม 8 ข้อ ของประธานาธิบดี หูจิ่นเทา ที่เผยแพร่ออกมา เพื่อให้ชาวจีนทุกคนพึงปฏิบัติ ที่มีมือดีดัดแปลงข้อความกฎเหล็กข้อหนึ่งจากเดิมที่ระบุว่า “จงรักชาติ จงอย่าทำลายชาติ” กลายเป็น “จงรักรถเบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู จงอย่าขี่จักรยาน” เสียอย่างนั้น
เรียกได้ว่า การล้อเลียนดังกล่าว เท่ากับเป็นการเหยียบจมูกมังกร เพราะถือเป็นการเสียดสีกลุ่มชนชั้นปกครองในจีนที่ใช้ชีวิตอย่างอู้ฟู่ จากการคอร์รัปชันโกงกินบ้านเมืองได้อย่างแยบยลทีเดียว
ไม่ต่างอะไรกับผลงานเพลงเพื่อชีวิตของ ฉวนจื้อ หนึ่งในนักร้องแดนมังกรเจ้าของเพลง “พีเพิล ออฟ จูไล” ซึ่งเนื้อเพลงมีเนื้อหาตัดพ้อว่า ความฝันของชนชั้นกลางในจีน ที่ต้องการมีชีวิตที่อยู่ดีมีสุขนั้น อยู่ไกลเกินเอื้อมเสียเหลือเกินจนเพลงดังกล่าว กลายเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ในจีนที่มีคนคลิกเข้ามาฟังมากกว่าล้านครั้งเลยทีเดียว
“เรานำเรื่องจริงที่แสนเศร้าที่เราประสบในชีวิตมาประชดประชัน เพราะแม้ว่าเราจะเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ และไร้อำนาจในสังคม แต่หากพวกเราร่วมมือกัน บางทีทางการอาจจะหันมาสนใจแก้ไขปัญหาของเรา และเราอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมนี้ขึ้นมาก็ได้” ฉวนจื้อ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าในบางครั้งการสร้างสรรค์ผลงานเหน็บแนม เพื่อสะท้อนสังคมและเรียกความสนใจจากกลุ่มนักการเมือง ก็อาจตรงประเด็น และเสียดแทงใจ “กลุ่มบุคคลที่ถูกพาดพิง” เสียจน “เป็นเรื่อง” กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น วีรกรรมของ ซวนเค่อ นักแสดงตลกคนแรกของจีน ที่หาญกล้าหยิบยกประเด็นล้อเลียนบรรดานักการเมืองจีนในสมัยของ เติ้งเสี่ยวผิง ที่มักตอบข้อเรียกร้องจากประชาชนด้วยประโยคติดปากที่ว่า “ขอกลับไปคิดดูก่อน” มาเหน็บแนมต่อหน้าสาธารณะอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก
และฟีดแบ็กจากกลุ่มที่รู้ตัวว่าถูกพาดพิงก็เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด เพราะจู่ๆ ซวนเค่อ ก็ต้องไปลงเอยนอนเล่นในเรือนจำอยู่นานนับปี ก่อนเติ้งเสี่ยวผิงประกาศปล่อยตัวเมื่อช่วงปี 1950
ภายหลังจากการปล่อยตัว นักแสดงตลกผู้นี้แอบเปิดเผยว่า ท่านประธานาธิบดี เจียงเจ่อหมิน ในขณะนั้น ได้กล่าวกับเขาอีกว่า ในตอนนี้เติ้งเสี่ยวผิง คือ เจ้าชีวิตของเขาแล้วภายหลังจากยอมปล่อยตัวให้เขามีอิสระแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วสังคมก็รู้แก่ใจดีว่า เติ้งเสี่ยวผิงคือผู้ที่ลงดาบสั่งจับ ซวนเค่อ โทษฐานเม้าท์เบื้องสูงตั้งแต่ทีแรกก็ตาม
และหากพูดถึงผลงานล้อการเมืองระดับโลก ที่ดีกรีเด็ดดวงไม่แพ้ใครคงต้องไม่ลืมหยิบยกวีรกรรมของเว็บไซต์ ดิ ออนเนียน เว็บไซต์ข่าวเจ้าพ่อแห่งการล้อเลียนของสหรัฐ ที่สามารถบรรเลงทักษะการเสียดสี “คิมจองอึน” ผู้นำหนุ่มเกาหลีเหนือได้อย่างเจ็บแสบแต่แอบฮา ด้วยการประกาศยกตำแหน่งให้เป็น “ชายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก” ประจำปี 2012 ไปครองเสียเลย
ดิ ออนเนียน เขียนบรรยายว่า คิมจองอึนเหมาะสมทุกประการที่จะครองตำแหน่งชายหนุ่มที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก เนื่องจากผู้นำโสมแดงวัยละอ่อนผู้นี้ “มีความหล่อเหลาแบบกระชากใจใบหน้ากลมอวบอิ่ม หุ่นอ้วนท้วนกำยำ มาพร้อมกับอำนาจเต็มมือที่ทำให้เขาดูน่ารักบอกไม่ถูก แถมเจ้าตัวยังมีหัวทางด้านแฟชั่น การแต่งกายที่ทันสมัย ทรงผมสั้นสุดเก๋และที่สำคัญก็คือ รอยยิ้มที่พวกเราเคยเห็นกันดี สรุปแล้วขวัญใจชาวเปียงยางผู้นี้ คือฝันที่เป็นจริงของผู้หญิงทุกคน”
เล่นเอาใครไม่เคยเห็นหน้าคิมจองอึนมาก่อน พออ่านจบคงเผลอคิดไปไกลแล้วว่า ผู้นำเกาหลีเหนือคนใหม่คงต้องหล่อทะลุแป้งแบบน้องๆ แบรต พิตต์ เป็นแน่!
เรียกได้ว่า ผลงานถากถางของ ดิ ออนเนียนนั้น ยิ่งกว่าประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากจะจิกกัดทั้งสไตล์การแต่งตัวที่จำเจ ไม่ต่างอะไรกับ คิมจองอิล ผู้เป็นบิดาที่ตลอดทั้งชีวิตใส่แต่ชุดสีกากีหลวมๆ รองเท้าบู๊ตทหารส้นตึกและแว่นตากันแดดอันโต พร้อมกับแซวในเรื่องการปกครองประเทศแบบเผด็จการของเกาหลีเหนือที่มักโชว์แสนยานุภาพของตัวเองอยู่ตลอดเวลาได้ถึงใจแล้ว
งานนี้ยังเป็นผลงานล้อผู้นำที่เนียนหรือน่าเชื่อถือเสียจนหนังสือพิมพ์ พีเพิล เดลี สื่อยักษ์ใหญ่ของทางการจีน ตกหลุมพรางหลงเชื่อเป็นตุเป็นตะ ก่อนนำไปเผยแพร่ต่อเป็นข่าวใหญ่พร้อมกับโปรโมตรูปถ่ายของ คิมจองอึน บนเว็บไซต์ถึง 55 หน้าเลยทีเดียว
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ดิ ออนเนียนประสบความสำเร็จในการใช้ศิลปะการล้อเลียนมาจิกกัดบุคคลสำคัญทางการเมืองของโลก
เพราะก่อนหน้านี้ ทางเว็บไซต์ได้เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นปลอมๆ ที่ระบุว่าชาวอเมริกันผิวขาวในชนบทส่วนใหญ่ ยินดีที่จะเทคะแนนเสียงให้กับ มาห์มูด อาห์มาดินจัด ประธานาธิบดีอิหร่าน มากกว่า บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ
และก็เป็นไปตามคาด คือหลังจากนั้นไม่นาน สำนักข่าวฟาร์ หนึ่งในสื่อของรัฐบาลอิหร่าน หยิบยกข่าวนี้ไปนำเสนอเป็นประเด็นร้อน พร้อมอ้างอิงบทสัมภาษณ์ปลอมๆ ที่ดิ ออนเนียน เมกขึ้นมาเองว่า ชาวอเมริกันคนหนึ่งในเวสต์เวอร์จิเนีย อยากไปดูเบสบอลกับอาห์มาดินจัดมากกว่าโอบามา ซึ่งเป็นคู่อริหมายเลข 1 โดยให้เหตุผลว่า “ผู้นำอิหร่านให้ความสำคัญกับการป้องกันประเทศอย่างจริงจังมากกว่า และไม่เคยยอมให้ผู้ประท้วงรักร่วมเพศมาสั่งสอนว่าควรบริหารประเทศอย่างไร เหมือนกับที่โอบามาทำ”
ยกนี้นับว่าสำนักข่าวฟาร์ถูกต้มเสียจนเปื่อย เนื่องจากไม่เอะใจเลยว่าบทสัมภาษณ์ดังกล่าว เป็นเรื่องลวงโลกที่ถูกกุขึ้นมาเพื่อพาดพิงสังคมอิหร่าน ที่เพศที่สามยังต้องได้รับโทษร้ายแรงถึงขึ้นจำคุก
ตลอดจนถึงประชดประชันผู้นำอาห์มาดิเนจัด ที่ครั้งหนึ่งเคยเหน็บแนมสหรัฐไว้ระหว่างการเข้าร่วมโต้วาทีที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเมื่อปี 2008 ว่า “ในอิหร่าน เราไม่มีพวกรักร่วมเพศเหมือนกับประเทศพวกคุณหรอก” นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการออกมากุเรื่องเพื่อล้อเลียนบุคคลสำคัญในเชิงการเมืองจนทำให้สื่อทางการหลายสำนัก หรือแม้แต่สื่อมืออาชีพชื่อดัง ต้องหน้าแตกหมดความน่าเชื่อถือไปตามๆ กันนั้น ได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมกันอยู่บ่อยครั้งว่า แท้จริงแล้ว การเสียดสีเป็นเพียง “ตลกร้าย” เท่านั้นหรือไม่
แต่สำหรับ โรรี เบรมเมอร์ นักแสดงตลกผู้ดีผู้มีประสบการณ์การแสดงละครเหน็บแนมการเมืองมาอย่างโชกโชน กลับมองต่างมุมว่า การล้อเลียนการเมืองผ่านทางสื่อต่างๆ จะยิ่งมีส่วนช่วยดึงความสนใจให้คนรู้จักและเข้ามีส่วนร่วมกับการเมืองมากขึ้น
เบรมเมอร์ยกตัวอย่างกรณีวงการการเมืองในอังกฤษ ที่ตัวเขามองว่าคนอังกฤษบางกลุ่มอาจยังไม่รู้จักนักการเมืองในพรรครัฐบาลดีพอ ดังนั้นหากการหยิบยกลักษณะเด่นของนักการเมืองแต่ละคนมาแซวเล่น ก็จะทำให้คนรู้จักมักคุ้นกับนักการเมืองคนนั้นๆ มากขึ้นไปโดยปริยาย
สอดคล้องกับความเห็นของ โซเฟีย แมคเคนเนน อาจารย์ด้านกิจการต่างประเทศและวรรณกรรมเชิงเปรียบเทียบประจำมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตตของสหรัฐ แสดงความเห็นผ่านทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยว่า การล้อเลียนสังคมและกลุ่มคนในระดับผู้บริหารประเทศ นับว่ามีความสำคัญในกระบวนการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาในสังคมและกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี
“การเสียดสี คือการตีแผ่ความโง่เขลาของมนุษย์ เพราะมันไม่ได้จบแค่สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้คนเท่านั้น” แมคเคนแนน กล่าว
ก่อนทิ้งท้ายว่า “ผลงานเสียดสีสังคมและการเมืองในปัจจุบันจะกลายเป็นหนึ่งในอาวุธที่ลับคมอเมริกันชนรุ่นใหม่ให้ ‘มีความคิด’ มากขึ้น เลยทีเดียว”


