ซึ้ง สุข ฮา นานาเรื่องจาก ‘แซนดี’
วินาทีที่ซูเปอร์สตอร์มแซนดีพัดถล่มพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ผู้คนทั่วโลกต่างเกาะติดหน้าจอโทรทัศน์
โดย...ณัฐสุดา จิตตปาลพงศ์
วินาทีที่ซูเปอร์สตอร์มแซนดีพัดถล่มพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ผู้คนทั่วโลกต่างเกาะติดหน้าจอโทรทัศน์ ลุ้นระทึกพร้อมเอาใจช่วยอเมริกันกว่า 50 ล้านคน ที่ติดแหง็กอยู่ในเส้นทางของพายุ
เพราะเฮอริเคนแซนดีถือเป็นพายุรุนแรงที่สุดลูกหนึ่งที่เคยโหมกระหน่ำเมืองลุงแซม โดยมีดีกรีความรุนแรงใกล้เคียงกับเฮอริเคนคาทรินาที่ถล่มเมื่อปี 2548 จนนำมาซึ่งวิกฤตอุทกภัย ไฟไหม้ และความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของชาวอเมริกันอีกมากมายมหาศาลจนไม่อาจประเมินค่าได้
แต่ท่ามกลางความสูญเสียเหล่านั้น กลับมีเรื่องราวดีๆ ที่พัดพามาพร้อมกับสายน้ำและคลื่นลมของแซนดี ไล่เรียงตั้งแต่เหตุการณ์ขำๆ ฮาๆ รวมทั้งความประทับใจต่างๆ และเรื่องราวสุดแปลกพิสดารที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่สามารถเรียกได้ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และแม้กระทั่ง “น้ำตา”
เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์สุดเพี้ยนพิลึกอย่างการหา “แพะรับบาป” รับผิดการเกิดพายุแซนดี
หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ มีการกล่าวหาว่า แซนดีไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของกลุ่มคนชั่วร้ายบางกลุ่ม โดยผู้โชคร้ายที่ตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้ก็คือ กลุ่มรักร่วมเพศนั่นเอง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะทันทีที่น้องหนูแซนดีก้าวขึ้นฝั่งแดนอินทรี บรรดากลุ่มศาสนาสุดโต่ง นำโดย จอห์น แม็คเทอร์นัน บาทหลวงผู้อื้อฉาว ผู้ก่อตั้งองค์กรคริสต์ “ปกป้องและประกาศความศรัทธา” ก็ได้ออกมากล่าวโทษชาวสีม่วงว่าเป็นต้นตอของภัยพิบัติ โดยเจ้าตัวอ้างว่าพระเจ้าต้องการลงโทษมนุษย์ที่หันมาดำเนินวิถีชีวิต “ผิดปกติ”
“พายุแซนดี คือ บทพิสูจน์ความจริงว่าพระเจ้ากำลังทำลายล้างโลก” แม็คเทอร์นัน ประกาศ
เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าตัวยังกล่าวหาประธานาธิบดี บารัก โอบามา ว่าเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มภราดรภาพมุสลิม รวมทั้งพยายามขัดขวางแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอีกด้วย
แม้จะสร้างความไม่พอใจเป็นวงกว้าง แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กลับไม่ถือสากับคำพูดของแม็คเทอร์นันมากนัก เพราะมองเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ผิดกับคำเตือนของนักวิทยาศาสตร์ถึงผลกระทบของแซนดีที่มีต่อระบบนิเวศ
เพราะคำเตือนที่ว่านี้ดันเกี่ยวข้องกับศัตรูหมายเลข 1 ของมวลมนุษยชาติอย่าง “หนู” ดังนั้น บรรดาเหยื่อแซนดีจึงอกผวากันเป็นแถวหลังมีการเตือนว่าจะเกิด “วันโลกาวินาศ หนูครองเมือง” (Ratpocalypse) ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยเฉพาะที่นครนิวยอร์กซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนูสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ทั้งนี้ เพราะธรรมชาติของ “มิกกีเมาส์” นั้นจะอาศัยอยู่ตามท่อ ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่น้ำท่วมหนัก หนูที่รอดจากการจมน้ำก็จะต้องอพยพหนีขึ้นสู่ที่สูง ซึ่งก็หมายถึงท้องถนนในนครนิวยอร์กนั่นเอง
เรียกได้ว่า ต่อไปนี้ชาวนิวยอร์กอาจต้องทำใจ เพราะจะได้มีโอกาสจ๊ะเอ๋กับหนูได้ทุกเมื่อไม่เว้นแม้กระทั่งในย่านสุดไฮโซอย่างแมนฮัตตันหรืออัปเปอร์อีสต์ไซด์
และที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ อิทธิพลของแซนดียังเสี่ยงเพิ่มประชากรหนูในนิวยอร์กอีกหลายเท่าตัว
“หลังน้ำลด ขยะ โดยเฉพาะพวกเศษอาหารก็จะต้องล้นเมืองอย่างแน่นอน ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่แหล่งอาหารของพวกหนูเพิ่มขึ้นจำนวนประชากรก็จะเพิ่มตาม” ริค ออสเฟล์ด นักนิเวศวิทยาจากสถาบันระบบนิเวศศึกษาคารีในสหรัฐ กล่าว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มก็แย้งว่า ที่อยู่อาศัยใหม่นั้นเป็นเพียงแค่บ้านชั่วคราวเท่านั้น
เพราะพอน้ำลดและสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หนูก็จะ “กลับบ้านเก่า” เอง ดังนั้น ชาวนิวยอร์กจึงวางใจได้ว่าหนูจะไม่ครองเมืองอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยก็คงไม่ได้เพิ่มจำนวนไปกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบันหรอก
หลังจากที่ต้องปวดขมับกับเรื่องหนูๆ ก็ยังพอมีเรื่องเบาสมองมาช่วยคลายความเครียดให้กับเหยื่อแซนดีได้บ้าง อย่างการเปิดโปงภาพลวง “โลก” ของพายุแซนดี
งานนี้มือป่วนได้ปล่อยภาพตัดต่อ รวมทั้งภาพเก่าๆ เมื่อครั้งเกิดพายุในอดีต และจากภาพยนตร์วันสิ้นโลกชื่อดังอย่าง “เดอะ เดย์ อาฟเตอร์ ทูมอร์โร” บนสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อหวังสร้างกระแสความหวาดกลัว เช่น ภาพลวงสุดสะพรึงอย่างภาพฉลามว่ายน้ำบนท้องถนนในนิวยอร์ก ภาพเทพีเสรีภาพขณะกำลังโดนคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ และภาพก้อนเมฆสีดำทะมึนแผ่ปกคลุมเต็มท้องฟ้าเหนือสะพานบรูคลิน
นอกจากนี้ ยังมีภาพตัดต่อสุดฮาอย่างภาพ “หน้าแมว” เปอร์เซียหน้าตาจิ้มลิ้มปรากฏท่ามกลางก้อนเมฆสีน้ำตาลเหนือเทพีเสรีภาพอีกด้วย
แต่ที่นับว่าเป็นเรื่องโจ๊กของมหันตภัยครั้งนี้ และขณะเดียวกันก็ทำให้ใครหลายๆ คนหัวเสียถึงขั้นอยากขว้างโทรศัพท์มือถือทิ้งก็คงหนีไม่พ้นเรื่องอื้อฉาวของ “สิริ” แอพพลิเคชันสั่งงานด้วยเสียงในไอโฟน
เพราะในยามที่ประเทศกำลังเผชิญหายนภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ บางทีคนเราก็ต้องการ “ที่พึ่ง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ท่ามกลางความว้าวุ่นรอบตัว
แต่เมื่อเจ้าของไอโฟนเอ่ยปากถามสิริ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดชนิดหนึ่งถึง “พายุแห่งศตวรรษ” ที่กำลังจะถาโถมมานั้น สิริกลับตอบสั้นๆ ว่า
“ฉันไม่เห็นรายงานเกี่ยวกับเฮอริเคน หรือพายุเลย” แม้ขณะนั้นแทบจะทุกรัฐได้สั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงแล้วก็ตาม
แม้จะต้องผิดหวังกับสิริ แต่ท่ามกลางเหตุโศกนาฏกรรมเลวร้าย ย่อมปรากฏเรื่องราวของ “ฮีโร่” เสมอ
ดังเช่นเรื่องราวของ อาร์เธอร์ คาสแพรก ตำรวจหนุ่มวัย 28 ปี ที่จมน้ำตายหลังช่วยเหลือสมาชิกครอบครัว 7 คน ซึ่งรวมถึงลูกชายวัย 15 เดือน ออกจากบ้านพักในสเตเตน ไอแลนด์ ในนิวยอร์ก เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่มวลน้ำมหาศาลจะไหลทะลักเข้าท่วม
เช่นเดียวกับเรื่องราวของทหารประจำหน่วย “โอลด์ การ์ด” กองทหารราบที่ 3 ของสหรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่สุสานแห่งชาติอาร์ลิงตันในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นที่ฝังศพทหารอเมริกันที่ได้พลีกายสละชีพเพื่อประเทศชาติ
ว่ากันว่า ที่สุสานแห่งนี้ จะต้องมีทหารยามปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอดเวลา โดยเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ปี 1948 แล้ว
ไม่เว้นแม้กระทั่งยามที่ประเทศเผชิญพายุร้ายแรงที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์!
“พวกเขา (ทหาร) ทำหน้าที่ทุกวัน ไม่ว่าอากาศจะร้อนตับแลบ หรือหนาวถึงกระดูกก็ตาม” กัปตันโอเวน โคช์ หัวหน้ากองพันเอชเอชซีที่ 4 กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในหลายชุมชน โดยเฉพาะการ “เลื่อนฉลองวันฮัลโลวีน” เพื่อไม่ให้เด็กๆ พลาดเทศกาลสุดโปรด ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ต.ค.ของทุกปี โดยที่รัฐนิวเจอร์ซีย์นั้น หลายเมืองประกาศฉลองวันปล่อยผีในวันที่ 7 พ.ย. หรือ 1 วันหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีแทน
“ลูกๆ ฉันตั้งหน้าตั้งตารอคอยฮัลโลวีนมาทั้งปี หากไม่ได้ฉลองปีนี้พวกเขาคงโวยวายน่าดูเลย” คุณแม่คนหนึ่ง กล่าว
ขณะที่บางเขตในนครนิวยอร์กก็ไอเดียสร้างสรรค์สุดๆ ผัน “ทริกออร์ทรีต” มาเป็น “ทรังก์ออร์ทรีต” (Trunk or Treat) โดยแทนที่เด็กๆ จะเคาะประตูบ้านขอขนม ทางผู้ใหญ่ก็นำรถมาจอดในลานจอดรถกว้างๆ แห่งหนึ่ง พร้อม “เปิดท้าย” แจกขนมแทน
แม้จะไม่ใช่บรรยากาศฮัลโลวีนที่คุ้นเคย แต่งานนี้ว่ากันว่าเด็กๆ นั้นสนุกสนานกันมาก และที่สำคัญก็คือ “ปลอดภัย”
นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำให้เห็นถึง “ความสามัคคี” ของผู้คนในชุมชนได้เป็นอย่างดี ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุด และสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่ต้องเผชิญเรื่องเลวร้าย อพยพหนีตายกันอลหม่าน และบางรายถึงขั้นสูญเสียสมาชิกครอบครัวและทรัพย์สินที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ก็ตาม
สมกับที่ ไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก กล่าวให้กำลังใจประชาชนว่า
“เราจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ยืนเคียงกันเสมอ พร้อมยื่นมือช่วยเหลือเพื่อนบ้านดังเช่นที่เราเคยทำมาโดยตลอด เพื่อฟื้นฟูเมืองที่เรารักให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง”
เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น “ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ”


