Just say no
ในหน้าประวัติศาสตร์จีน คงไม่มีสินค้าชนิดใดที่สามารถสั่นคลอนเสถียรภาพดินแดนแห่งนี้ได้มากเท่ากับ “ฝิ่น” สารเสพติดที่ครั้งหนึ่งคนกว่าครึ่งค่อนประเทศติดกันงอมแงมจนไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงานทำการ สร้างความหายนะทางการเงินและนำประเทศไปสู่ความตกต่ำอยู่เป็นเวลานาน กว่าจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกเฉกเช่นทุกวันนี้ ถึงจะมีการเผาทำลายและปราบปรามสารเสพติดชนิดดังกล่าวอยู่หลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่ก็มิวายสร้างความวุ่นวายให้แก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและยังคงเป็นปัญหาสังคมที่บ่อนทำลายคนในชาติเรื่อยมา โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่มีแนวโน้มว่าจะพึ่งพาสารเสพติดชนิดใหม่ๆ ที่ลักลอบขายกันตามท้องตลาด
ในหน้าประวัติศาสตร์จีน คงไม่มีสินค้าชนิดใดที่สามารถสั่นคลอนเสถียรภาพดินแดนแห่งนี้ได้มากเท่ากับ “ฝิ่น” สารเสพติดที่ครั้งหนึ่งคนกว่าครึ่งค่อนประเทศติดกันงอมแงมจนไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงานทำการ สร้างความหายนะทางการเงินและนำประเทศไปสู่ความตกต่ำอยู่เป็นเวลานาน กว่าจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกเฉกเช่นทุกวันนี้ ถึงจะมีการเผาทำลายและปราบปรามสารเสพติดชนิดดังกล่าวอยู่หลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่ก็มิวายสร้างความวุ่นวายให้แก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและยังคงเป็นปัญหาสังคมที่บ่อนทำลายคนในชาติเรื่อยมา โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่มีแนวโน้มว่าจะพึ่งพาสารเสพติดชนิดใหม่ๆ ที่ลักลอบขายกันตามท้องตลาด
แม้ว่าสถิติของผู้ติดสารเสพติดที่ขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการจะมีราวล้านเศษๆ ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับประชากรทั่วประเทศ คิดเป็น 1:1,000 คน และยังเป็นตัวเลขที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เสพฝิ่นในอดีตที่ผ่านมา ทว่า มีข้อน่าสังเกตตรงที่การแพร่กระจายของยาเสพติดเป็นไปอย่างรวดเร็ว จำนวนผู้เสพยามีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่า กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตกเป็นเหยื่อของสารเสพติดมากกว่าคนวัยอื่นๆ
ผลการสำรวจทั่วประเทศเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในคำถามที่ว่า “หากมีโอกาส คุณยังจะลองอีกหรือไม่” คำตอบที่ได้รับถึงกับทำให้ตกตะลึงกันทีเดียว เพราะร้อยละ 80 ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่า “ยังอยากจะลองอีก” เหตุผลต่างๆ นานา ที่เด็กเหล่านี้หยิบยกมากล่าวอ้าง ก็เป็นอะไรที่สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมและสภาพครอบครัวของชาวจีนยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็น “อยากลอง อยากเล่น” “เสพแล้วรู้สึกไม่ตกยุคตกสมัย” “ช่วยผ่อนคลายความทุกข์” “ช่วยลดน้ำหนัก” เป็นต้น แต่จะมีสักกี่คนที่มองการเสพสารเสพติดว่าเป็นเรื่องที่บั่นทอนชีวิตและสร้างภาระทางใจให้แก่ผู้คนรอบข้าง เพราะหากก้าวพลาดติดกับดักสารเสพติดชนิดใดเข้าแล้ว โอกาสที่จะถอนตัวดูจะเลือนลางมากและถือเป็นการเดิมพันชีวิตที่เป็นตายเท่ากัน ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของจิตใจและกำลังใจที่ดีจากคนรอบข้างว่ามีมากน้อยเพียงใด กล่าวกันว่าร้อยละ 97 ของผู้ที่เคยติดยาจะมีโอกาสกลับมาเสพยาอีกครั้ง ดังคำกล่าวในภาษิตจีนที่ว่า “เสพยา 1 วัน เลิกยา 10 ปี อยากยาตลอดชีวิต” เฟังดูเป็นอะไรที่น่ากลัว แต่สำหรับผู้ที่เคยเสพยาจะรู้รสของการเลิกยาว่าทรมานยิ่งกว่าการอยากยาแล้วไม่ได้รับการตอบสนองเสียอีก
ดูเหมือนว่า ปัญหายาเสพติดที่กลายเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมจีนไม่ได้คลี่คลายไปในทางที่ดีนัก การติดยาของบรรดาวัยรุ่นทั้งที่มีฐานะยากจนและฐานะดี ยังคงปรากฏให้เห็นและนับวันก็ยากที่จะเยียวยาลงทุกที เคยมีผู้อำนวยการประจำโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในมณฑลหูเป่ย กล่าวเกี่ยวกับปัญหาการเสพยาในหมู่นักเรียนว่า “หากครอบครัวใดมีสมาชิกที่ติดยา ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงสิงโตที่ไม่มีวันหลับไว้ 1 ตัว สร้างความหวาดหวั่นให้แก่คนในบ้านและต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ความสงบสุข เพราะไม่รู้ว่าเจ้าสิงโตตัวนี้จะแผลงฤทธิ์ขึ้นมายามใด”
จริงๆ แล้ว กลุ่มวัยรุ่นจีนที่ติดยาล้วนทราบถึงประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนของสงครามฝิ่นที่บ่อนทำลายประเทศ และสร้างความอดสูให้แก่คนในชาติ แต่สาเหตุประการสำคัญที่นำพาให้วัยรุ่นจีนตกเป็นทาสยาเสพติดเกิดจากความเข้าใจผิดๆ ของสังคมในโรงเรียนและการอบรมสั่งสอนของผู้ใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น การให้ความสำคัญกับ “ศักยภาพ” ดังเห็นได้จากโรงเรียนเกือบทุกแห่งต่างประชันขันแข่งกันเพื่อสร้างชื่อเสียงในเรื่องสถิติการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้แก่สถาบันของตน โดยลืมอบรมสั่งสอนวิธีการสร้างคุณค่าให้แก่ตนเองของเด็กเหล่านี้ บกพร่องในการปลูกฝังศีลธรรมจรรยาและหลักการความเป็นคน เมื่อเกราะที่ห่อหุ้มจิตใจเหล่านี้เปราะบาง โอกาสที่เด็กเหล่านี้จะหลงระเริงไปกับสิ่งเร้าที่ประดังประเดเข้ามาในชีวิตก็มีอยู่มาก ในที่สุดก็ตกเป็นเหยื่อของภัยสังคมในรูปแบบดังกล่าว
ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของจีนในวันนี้ ส่งผลให้เยาวชนจำนวนมากได้รับการอุ้มชูจากบุพการีที่มีฐานะดี แต่ไร้ซึ่งเวลาในการให้ความอบอุ่นแก่บุตรหลาน การหย่าร้างของสามีภรรยาจำนวนมาก การสูญเสียญาติมิตร แรงกดดันในการใช้ชีวิต เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยหันไปพึ่งพายาเสพติด เนื่องจากขาดที่พึ่งทางใจและไม่รู้ว่าจะรับมือกับสภาพจิตใจที่ตกต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร สภาวการณ์ดังกล่าวถือเป็นลักษณะร่วมกันของสังคมที่มีความเจริญทางวัตถุสูง เชิดชูเงินทองเป็นพระเจ้า กลายเป็นจุดบอดที่เป็นแหล่งสะสมปัญหาทางสังคมนานัปการ
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มวัยรุ่นจีนที่มีค่านิยมผิดๆ เกี่ยวกับการเสพยาว่าเป็นเรื่องของการยกระดับฐานะในสังคม ดูจากคำกล่าวติดปากที่ว่า “จะดูว่าคนคนหนึ่งมีฐานะหรือไม่ ไม่ได้ดูว่าขับรถมียี่ห้อ อยู่บ้านที่โก้หรู แต่ให้ดูว่าคนคนนั้นเสพยาหรือเปล่า” เห็นได้ชัดว่ากระแสสังคมเช่นนี้สร้างความหนักใจให้แก่หน่วยงานปราบปรามยาเสพติดอย่างมาก เพราะเป็นแนวคิดที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลง ประจวบกับข่าวการเสพยาของผู้คนในแวดวงบันเทิงที่มีให้เห็นบ่อยๆ คนกลุ่มนี้ถือว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของวัยรุ่นอย่างมาก เพราะเป็นแบบอย่างในการปฏิบัตตัวของพวกเขา เมื่อกระแสสังคมเข้าล็อกกับแบบอย่างที่พวกเขาหลงใหล การเสพยาในหมู่วัยรุ่นจีนจึงเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
ไม่น่าเชื่อว่า มาตรการปราบปรามยาเสพติดที่มีบทลงโทษอย่างรุนแรง กลับไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้ลักลอบซื้อและลักลอบขายแต่อย่างใด เพราะต่างคนต่างยึดเอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลักและหันเข้าหาลัทธิ “สุขนิยม” เป็นที่ตั้ง ไม่เคยมองว่าคนรอบข้างจะรู้สึกอย่างใด หากต้องเดือดร้อนกับสมาชิกที่ขายยาและเสพยา ยิ่งไปกว่านั้น ชนิดของยาเสพติดมากหน้าหลายตายังคงทะลักเข้าสู่ตลาดขายยาอย่างต่อเนื่อง อายุของผู้ที่ติดยาเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ กลุ่มผู้ลักลอบขายยานับวันจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ภัยยาเสพติดในประเทศแห่งนี้จึงกลายเป็นปัญหาฉกาจฉกรรจ์ที่ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญ แต่ดูเหมือนยิ่งห้ามปราม กลับยิ่งสร้างความรู้สึกท้าทายต่อกลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด
สำหรับผู้ที่ไม่เคยข้องแวะกับอบายมุขชนิดนี้มักมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แตกต่างจากผู้คนที่ก้าวเข้าไปอยู่ในวังวนและจมปลักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นั่นเป็นเหตุที่มีการรณรงค์ให้ห่างไกลจากยาเสพติดนับแต่สสารชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้น สิ่งที่รัฐบาลจีนพยายามรณรงค์ในเรื่องการปราบปรามจะง่ายขึ้นมากหากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือและเกิดจิตสำนึกต่อสังคมที่เดิมทีก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายอยู่แล้ว
ขอเพียงแค่เราปฏิบัติตามคำขวัญในการปราบปรามยาเสพติดที่ว่า Just say no ความสุขก็จะเป็นของเราและครอบครัวอย่างไม่ยากเย็นนัก!


