‘สู้เพื่อเลิกทาสในเกาหลี...ไม่เคยสำเร็จ’ Episode 3
เป็นความจริงที่ว่าระบบทาสในเกาหลีมิได้ถูกยกเลิกไปเพราะชัยชนะจากการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชนชั้นล่าง
เป็นความจริงที่ว่าระบบทาสในเกาหลีมิได้ถูกยกเลิกไปเพราะชัยชนะจากการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชนชั้นล่าง
โดย... เพียงออ วิไลย
เป็นความจริงที่ว่าระบบทาสในเกาหลีมิได้ถูกยกเลิกไปเพราะชัยชนะจากการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชนชั้นล่าง และไม่ได้เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเมตตาต่อปวงชนดังเช่นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ของไทยแต่อย่างใด หากเป็นเพราะศึกสงครามและปัญหาความถดถอยทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ข้าวยากหมากแพง จึงทำให้ระบบทาสในเกาหลีซึ่งเป็นชาติหนึ่งที่ได้ถูกบันทึกไว้ว่า มีระบบทาสและชนชั้นวรรณะที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องมายาวนานถึง 1,400 ปี ได้ล่มสลายลงโดยปริยาย
ทั้งนี้ เพราะระบบทาสในเกาหลีเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างงานและเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีพลวัตจากผลผลิตทางการเกษตรของทาสกลางไร่นา หากไร้ซึ่งทาสเหล่านี้ เหล่าชนชั้นสูง ขุนนาง หรือ “ยังบาน” จะไม่สามารถทรงสถานะของตนได้ เพราะไม่มีแรงงานทำงานให้ ในอดีตการศึกสงครามส่วนมากจึงเกิดขึ้นเพียงเพื่อแย่งชิงทรัพยากร ดินแดน ซึ่งได้แก่ ที่ทำกิน และแย่งชิงผู้คนเพื่อที่จะได้มีแรงงานทำงาน ระบบทาสในเกาหลีนั้นมีลักษณะพิเศษอยู่ 2 ประการ คือ นอกจากจะเป็นระบบที่เก่าแก่มาแต่ก่อนดังที่กล่าวมาแล้ว ยังเป็นระบบทาสที่เอาคนชาติเดียวกันมาเป็นทาสได้เรื่อยๆ ... อ่า ย้อนกลับมาดูละครยอดฮิตของเรา “แทกิล ยอดพยัคฆ์นักล่า” หรือ “ชูโน ร฿ณ๋” สักนิด จากความคิดเห็นของชาวเกาหลีเขาเห็นว่าเกาหลีเลิกทาสไม่สำเร็จเพราะว่า “ระบบทาสไม่ได้เป็นเรื่องของการแบ่งชนชั้นวรรณะ แต่เป็นเรื่องของสถานะ” ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมเข้าใจได้ อีกทั้งยังสืบทอดกันมายาวนาน ในสังคมย่อมต้องมีผู้ที่ปกครองและผู้ถูกปกครอง การที่มีเจ้านายปกครองผู้มั่งคั่งมีบารมีก็ดีอย่างหนึ่ง ตรงที่ไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับปากท้อง ในเมื่อมีงานให้ทำ มีห้องให้อยู่ มีอาหารให้กิน มีเตาไฟให้ความอบอุ่น
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดปรากฏการณ์ที่ค้านกับความรู้สึกของนักสิทธิมนุษยชน คือครอบครัวอิสระชนคนชั้นล่างผู้มีที่ทำกินเพียงเล็กน้อยขายครอบครัวและตัวเองให้ไปเป็นทาสไพร่ให้แก่ขุนนางเจ้าของที่ดินใกล้เคียง เพื่อผลประโยชน์ เช่น จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีอันแสนแพงที่ถูกเรียกเก็บจากทางการ หรือเพื่อให้มีชีวิตรอดจากความอดอยาก ทั้งนี้เพราะคาบสมุทรเกาหลีจะหนาวยะเยือกปีละ 68 เดือน อยู่อย่างลำบาก ถึงคราวอาหารขาดแคลนก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่รอดได้ จึงเข้าทางเหล่าขุนนางและผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจพอดี เพราะชนชั้นขุนนางได้รับพระบรมราชานุญาตจากกษัตริย์ให้ครอบครองที่ดินได้ จึงได้ใช้ทาสเหล่านี้เข้าไปหักล้างถางพงป่าให้เป็นแปลงไร่นาเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้ตนเอง บางครั้งจึงเกิดเรื่องทุจริตทั้งทางด้านการครอบครองที่ดินหรือการเลี่ยงภาษีให้ทางการ
อันที่จริง แนวความคิดในการเลิกทาสมิใช่ว่าจะไม่มีกษัตริย์องค์ไหนเคยคิดมาก่อน พระเจ้าจองโจ หรืออีซาน (ลีซาน) พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 22 แห่งราชอาณาจักรโชซอน (พ.ศ. 2319-2343) ผู้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณประโยชน์ที่สุดของเกาหลี ท่านได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางความคิดและสังคมของเกาหลี และทรงเคยมีพระราชดำริมาแล้วครั้งหนึ่งว่าจะเลิกทาสได้อย่างไร ทว่าไม่สามารถทำได้สำเร็จ เนื่องจากการเลิกทาสหมายถึงการตกต่ำของชนชั้นปกครอง เหล่าขุนนางที่จะขาดประโยชน์จากแรงงานและเป็นอันตรายต่อสถานะและความมั่งคั่งของตนเองจึงได้คัดค้าน ระบบทาสจึงดำรงอยู่ต่อไป ทว่ามีหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งที่ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติของระบบทาส โดยศึกษาจากเอกสารประจำครอบครัวหนึ่ง ซึ่งครอบครองทาสและต้องแจ้งจำนวนทาสให้แก่ทางการทราบตามกฎหมาย ในช่วงเวลา 180 ปี ของครอบครัวนี้ ในช่วงต้นจำนวนทาสต่อเจ้านายอยู่ที่ 20 คนต่อเจ้านาย 1 คน 180 ปีให้หลัง จำนวนทาสต่อเจ้านายอยู่ที่ 0.55 คน ต่อ นาย 1 คน แปลความได้ว่า จำนวนทาสเริ่มขาดแคลนหรือจำนวนเจ้านายในครอบครัวขยายเพิ่มมากขึ้น จะอย่างไรก็ตาม นั่นหมายถึงการขาดแคลนกำลังแรงงานที่จะสร้างความมั่งคั่งให้แก่ชนชั้นยังบาน อย่างรุนแรง ในที่สุด พ.ศ. 2440 ระบบทาสได้เลือนหายไปโดยที่คนเกาหลีเองไม่ได้รู้สึกด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้านั้นทาสได้มีอิสระในการประกอบอาชีพของตนเองมานานแล้ว เนื่องจากเจ้าขุนมูลนายมิสามารถแบกรับภาระการเลี้ยงดูทาสไว้ได้ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจและความสั่นคลอนของเอกราชของประเทศ หลังจากที่ราชวงศ์โชซอนถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นเข้ายึดครอง ...
หมายเหตุ : หนังสือ “เกาหลีทีเด็ด” ฉบับรวมเล่ม 1 และ “เตรียมตัวไปเป็นเฟรชชี่ที่เกาหลี” จำหน่ายแล้วที่ร้านนายอินทร์ และ ซีเอ็ด ทุกสาขา...


