อีเอ็มบอล"ลูกบอลวิเศษ"หรือตัวการทำน้ำเน่า?
เรียนรู้การใช้อีเอ็มบอลจากแดนอินทรี "ลูกบอลวิเศษ" หรือ "ตัวการทำน้ำเน่า?"
เรียนรู้การใช้อีเอ็มบอลจากแดนอินทรี "ลูกบอลวิเศษ" หรือ "ตัวการทำน้ำเน่า?"
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
ท่ามกลางวิกฤตอุทกภัยครั้งรุนแรงใน รอบกว่า 50 ปีของไทย ซึ่งได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 500 คน ดูเหมือนว่าขณะนี้คนไทยทั้งประเทศจะฝากความหวังไว้ที่ลูกกลมๆ เล็กๆ สีน้ำตาลขนาดเท่าลูกปิงปอง ที่มีชื่อเรียกว่า “อีเอ็มบอล”
เพราะที่ผ่านมาเกิดกระแสข่าวว่า เจ้าลูกบอลเหล่านี้มีคุณสมบัติในการบำบัดน้ำเสียได้ดี จึงไม่แปลกที่ช่วงนี้ประชาชนจำนวนมากได้มารวมตัวกันเพื่อปั้นอีเอ็มบอล
เพราะทราบดีว่า น้ำที่ท่วมขังในหลายพื้นที่เป็นน้ำเน่าเหม็นที่สามารถกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี ทุกคนจึงได้แต่หวังว่าลูกบอลมหัศจรรย์เหล่านี้จะสามารถกอบกู้น้ำเน่าให้กลายเป็นน้ำดี เพื่อที่ผู้ประสบภัยจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับกลิ่นเหม็นและความเสี่ยงที่จะต้องเจ็บไข้ได้ป่วยจากน้ำที่เน่าเสียมาเป็นเวลานานหลายสัปดาห์
แม้ที่ผ่านมาหลายคนจะคุ้นเคยกับชื่อ “อีเอ็มบอล” ดี แต่เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะทราบส่วนประกอบและกระบวนการทำงานของเจ้าลูกกลมๆ เหล่านี้
อีเอ็มบอล (EM Ball) หรือที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Effective Microorganisms ซึ่งแปลเป็นไทยก็คือ จุลินทรีย์ที่ให้ประสิทธิผลสูง เกิดจากการนำวัสดุต่างๆ อาทิ แกลบป่น ดินทราย หัวเชื้อจุลินทรีย์อีเอ็ม กากน้ำตาล และน้ำสะอาด มาผสมรวมกันและปั้นเป็นลูกกลมๆ
ทั้งนี้ แนวคิดของ “อีเอ็ม” มาจากหลัก การย่อยสลายสารอินทรีย์ โดยอาศัยความสามารถของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาตินั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าการใช้วัสดุธรรมชาติในการทำลายสารอินทรีย์และเชื้อโรคต่างๆ นั้นย่อมปลอดภัยกว่าการใช้สารเคมี
ใน “อีเอ็ม” จะประกอบไปด้วยจุลินทรีย์หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มราเส้นใย กลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง และกลุ่มจุลินทรีย์หมัก เป็นต้น โดยปัจจุบันนั้นมีการคิดสูตรการผลิต “อีเอ็ม” ออกมาไม่ต่ำกว่าร้อยสูตร ซึ่งแต่ละสูตรก็จะมีรูปแบบของวัตถุประสงค์การใช้งานและให้ผลลัพธ์ในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น เป็นปุ๋ยให้กับพืช บำบัดน้ำเสีย เป็นอาหารเสริม และกำจัดกลิ่นเหม็น เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความพยายามของภาครัฐในการรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันปั้นอีเอ็มบอล สื่อต่างชาติและนักวิชาการไทยส่วนหนึ่งกลับตั้งคำถามสำคัญว่า อีเอ็มบอลนั้นสามารถเปลี่ยน “น้ำเสีย” ให้เป็น “น้ำดี” ได้จริงหรือ
ทั้งนี้ มีผู้อ้างว่า อีเอ็มบอลนั้นเคยถูกนำไปใช้ในต่างประเทศเพื่อบำบัดน้ำเสีย ไม่ว่าจะเป็นครั้งเกิดพายุเฮอริเคนแคทรินาที่สหรัฐเมื่อปี 2548 หรือคลื่นยักษ์สึนามิในภูมิภาคเอเชียเมื่อปี 2547
แต่หากลองศึกษาการใช้เทคโนโลยีอีเอ็มของต่างประเทศแล้วก็จะพบว่า วัตถุประสงค์หลักในการใช้อีเอ็มนั้นกลับไม่ใช่เพื่อการบำบัดน้ำเสียโดยตรง
แมธทิว วูด ผู้ก่อตั้งบริษัท เอสซีดี โปรไบโอติกส์ (SCD Probiotics) บริษัทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกส์ หรือผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติที่ประกอบด้วยแบคทีเรียมีชีวิต ซึ่งอาศัยเทคโนโลยีอีเอ็มในการผลิต เปิดเผยว่า ภายหลังเกิดพายุเฮอริเคนแคทรินาที่สหรัฐเมื่อปี 2548 น้ำเน่า ซึ่งมีทั้งคราบน้ำมัน สารเคมี และขยะได้เอ่อท่วมขังในหลายพื้นที่ของรัฐลุยเซียนาและมิสซิสซิปปีเป็นเวลานานกว่า 3 สัปดาห์
ภายหลังน้ำลด ทางการได้ตรวจพบสารพิษตกค้างตามพื้นถนนและผนังอาคารบ้านเรือน ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายต่อทั้งชีวิตประชาชนและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งยังพบเชื้อราขึ้นตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในบ้านชั้นเดียวที่น้ำได้ท่วมมิดหลังคานั้น พบเชื้อราขึ้นตั้งแต่พื้นจรดเพดาน
ทางบริษัทจึงได้บริจาคผลิตภัณฑ์อีเอ็มกว่า 5 หมื่นแกลลอน เพื่อช่วยกำจัดเชื้อรา ซึ่งผลปรากฏว่า ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์โรไบโอติกส์ในการกำจัดเชื้อรานั้นเท่าเทียมสารเคมีเลยทีเดียว และในขณะเดียวกันไม่เป็นอันตรายต่อคนและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากผลิตจากวัสดุทางธรรมชาติ ซึ่งต่างกับน้ำยากำจัดเชื้อราทั่วไปที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบหลัก
นอกจากผลิตภัณฑ์อีเอ็มของบริษัทจะประสบความสำเร็จในการกำจัดเชื้อราที่สหรัฐแล้ว ทางบริษัทยังเผยว่า ได้นำผลิตภัณฑ์อีเอ็มไปช่วยครั้งเกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่ประเทศอินเดียเมื่อปี 2547
มาการิตา คอร์เรีย ผู้อำนวยการของเอสซีดีประจำเอเชียใต้ เปิดเผยว่า ภายหลังเกิดสึนามิในครั้งนั้น เมืองต่างๆ ในอินเดียที่ถูกคลื่นยักษ์พัดถล่มจนน้ำท่วมขังต้องประสบปัญหาต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเหม็นและเชื้อโรคจากน้ำเน่า อีกทั้งยังขาดแคลนน้ำสะอาดในการบริโภค
ดังนั้น เอสซีดีจึงได้บริจาคผลิตภัณฑ์อีเอ็มเพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ปนเปื้อนเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ และยังมอบผลิตภัณฑ์ ยาและอาหารเสริม เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขับถ่ายและการติดเชื้อในกระเพาะอาหารจากการบริโภคอาหารที่สกปรก
ขณะเดียวกันบริษัท เอ็มเมอรัล เอิร์ท ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อีเอ็มจากสหรัฐอีกราย เปิดเผยว่า ช่วงที่ประเทศไทยต้องประสบกับคลื่นยักษ์สึนามินั้น ทางการไทยได้นำผลิตภัณฑ์อีเอ็มกว่า 2 ตัน มาฉีดบนศพเหยื่อสึนามิเพื่อฆ่าและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า แม้ที่ผ่านมาอีเอ็มจะมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเมืองภายหลังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดเชื้อรา การกำจัดกลิ่นเน่าเหม็น และการฆ่าเชื้อโรค แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังไม่เคยมีการนำอีเอ็มไปใช้ในการบำบัดน้ำที่เน่าเสียอย่างจริงจังเสียที หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า ถ้าหากโยนอีเอ็มบอลเข้าไปในพื้นที่มีน้ำเน่าขังอยู่แล้วจะสามารถเปลี่ยนน้ำเน่าให้กลายเป็นน้ำใสที่ไม่มีกลิ่นเหม็นได้อย่างที่หลายฝ่ายกล่าวอ้างนั่นเอง
ขนาดองค์การอนามัยโลก (ฮู) ยังออกมาเตือนไทยเลยว่า อีเอ็มบอลนั้นอาจไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำเน่าได้ มัวรีน เบอร์มิงแฮม ผู้แทนขององค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย มองว่า อุทกภัยไทยกินบริเวณกว้าง ดังนั้นจึงต้องใช้อีเอ็มบอลจำนวนมหาศาลจึงจะบำบัดน้ำเสียได้ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก โดยที่ยังไม่ทราบว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่
“แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าเทคโนโลยีเอฟเฟกทีฟ ไมโครออร์แกนิซึม หรืออีเอ็ม เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในการบำบัดน้ำเสียเมื่อครั้งเกิดสึนามิในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพายุเฮอริเคนแคทรินาที่สหรัฐ แต่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ยืนยันได้ว่า อีเอ็มบอลจะใช้ได้ผลกับสถานการณ์น้ำท่วมในไทย” เบอร์มิงแฮมกล่าว
ตอนเกิดแคทรินานั้น สหรัฐได้ใช้อีเอ็มในการกำจัดเชื้อราและสารพิษตกค้างเป็นหลัก ไม่ใช่การบำบัดน้ำเสีย อีกทั้งไทยเองก็เคยใช้อีเอ็มเมื่อครั้งเกิดสึนามิ แต่วัตถุประสงค์ในครั้งนั้นกลับเป็นการดับกลิ่นเหม็นของศพมากกว่าการมุ่งบำบัดน้ำที่ท่วมขัง
นอกจากนี้ การที่จุลินทรีย์อีเอ็มนั้นมีหลากหลายชนิด การนำมาใช้บำบัดน้ำเสียก็จะต้องมีการศึกษาจุลินทรีย์ให้ดีว่าชนิดใดบ้างที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคและเพิ่มออกซิเจนในน้ำได้
ขณะเดียวกันก็ใช่ว่าน้ำที่ท่วมในแต่ละพื้นที่นั้นจะมีความคล้ายคลึงกัน เพราะอย่าลืมว่าน้ำเน่าในแต่ละพื้นที่นั้นอาจมาจากแหล่งที่แตกต่างกัน เช่น น้ำที่ไหลผ่านโรงงานอาจมีสารพิษตกค้าง ขณะที่พื้นที่อื่นๆ นั้นอาจเป็นเพียงน้ำจากแม่น้ำที่หนุนสูงจนท่วมเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ สามารถยืนยันพิสูจน์ได้ว่า อีเอ็มบอลบำบัดน้ำเสียได้จริง 100% ทางการจึงไม่ควรสนับสนุนให้ประชาชนหันมาช่วยกันสร้างอีเอ็มบอล เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากอีเอ็มบอลล้มเหลวในการแก้น้ำเน่า ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ และในขณะเดียวกันก็อาจเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของประชาชนได้
และยิ่งไปกว่านั้น นักวิชาการยังออกมาเตือนว่า อีเอ็มบอลอาจทำให้สถานการณ์น้ำเน่าแย่ลงไปกว่าเดิม เนื่องจากกากน้ำตาลและรำข้าวที่ใช้ในการปั้นอีเอ็มบอล เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจมีผลตกค้างทำให้น้ำเน่าได้
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ก็คือ การศึกษาอีเอ็มบอลอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้นำมาใช้อย่างถูกต้อง หรือไม่ก็เพื่อหาวิธีอื่นๆ ในการบำบัดน้ำเสีย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความผิดพลาดใดๆ ก็จะยิ่งซ้ำเติมและสร้างความบอบช้ำให้กับผู้ประสบภัยเท่านั้น
ทุกคนคงรู้สึกชื่นใจกันถ้วนหน้าที่ได้เห็นความสามัคคีของคนไทยในการปั้นอีเอ็มบอล ดังนั้น เชื่อว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นใด คนไทยก็จะพร้อมที่จะสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยต่อไปอย่างแน่นอน


