posttoday

อู่ข้าวอู่น้ำเอเชียจมบาดาล หวั่นราคาอาหารพุ่ง

09 ตุลาคม 2554

น้ำตาชาวนาไหลรินพร้อมกับสายน้ำที่เอ่อเข้าท่วมไร่นาอย่างหนัก

น้ำตาชาวนาไหลรินพร้อมกับสายน้ำที่เอ่อเข้าท่วมไร่นาอย่างหนัก

ข้าวที่เสียแรงปลูกเองกับมือถึงบัดนี้จมอยู่ใต้น้ำจนไม่เห็นแม้แต่เค้าลางของรวงข้าวสีทอง ซึ่งปกติในยามแดดส่องจะสะท้อนแสงวาวระยับไปทั่วไร่นา

ปีนี้สภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติได้ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในหลายพื้นที่เกษตรกรรมทั่วทวีปเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของโลก

แม้การเกิดอุทกภัยจะเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายสำหรับชาวนาเนื่องจากผลผลิตที่ลงแรงแข็งขันกันทั้งครอบครัวมานานหลายเดือนนั้นต้องสูญหายภายในพริบตา

แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นปีนี้ในภูมิภาคเอเชียหนักหนาสาหัสกว่าทุกปี และกำลังกลายเป็นวิกฤตราคาอาหารครั้งรุนแรงซึ่งจะส่งผลให้ผู้คนทั่วโลกต้องเดือดร้อนทุกข์ยากกันถ้วนหน้าอย่างแน่นอน

เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่า เมื่อใดก็ตามที่สินค้าขาดตลาด ราคาก็จะพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวเอเชียได้รับความเสียอย่างหนักจากอุทกภัย ปริมาณสต๊อกข้าวของโลกก็ลดลง ซึ่งจะดันราคาให้สูงขึ้น

อู่ข้าวอู่น้ำเอเชียจมบาดาล หวั่นราคาอาหารพุ่ง

 

และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ในปีนี้นาข้าวที่ได้รับความเสียหายมากสุดกลับกลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกอย่างไทย อันดับสองอย่างเวียดนาม และผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสามอย่างปากีสถาน โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่านาข้าวเกือบ 9.25 ล้านไร่ ซึ่งครอบคลุมทั้งในไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว อินเดีย และปากีสถาน กำลังได้รับความเสียหายหรือเสี่ยงที่จะถูกทำลายจากน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุดของภูมิภาคในรอบหลายปี

“ผลผลิตทางการเกษตรของภูมิภาคได้รับผลกระทบอย่างหนักในปีนี้จากอุทกภัยซึ่งมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้” เวือง ฮู เทียน เจ้าหน้าที่กรมควบคุมอุทกภัยและพายุในเมืองอันเกียงของเวียดนามเปิดเผย

ไทยเป็นประเทศหนึ่งในอาเซียนที่ได้รับผลกระทบหนักสุด โดยขณะนี้มีประชาชนเสียชีวิตแล้ว 237 คน อีกทั้งน้ำท่วมหนักยังส่งผลให้มีนาข้าวจมอยู่ใต้น้ำราว 6.25 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 10% ของนาข้าวทั้งประเทศ

ที่ จ.ร้อยเอ็ด น้ำท่วมนาข้าวเสียหายแล้วกว่า 4 แสนไร่ และที่ จ.บุรีรัมย์ ได้มีการประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติแล้ว 8 อำเภอ และพบนาข้าวถูกน้ำท่วมแล้วกว่า 5 หมื่นไร่ แต่ยังเคราะห์ดีที่ยังไม่เสียหายเพราะข้าวยังไม่ออกรวง แต่หากฝนตกลงมาอีกจะทำให้นาข้าวเสียหายทั้งหมด

ความเสียหายครั้งนี้จะส่งผลต่อราคาข้าวในตลาดโลกอย่างแน่นอนเพราะข้าวราว 30% ของสต๊อกข้าวทั้งหมดนั้นปลูกในไทย

สำหรับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนของไทยอย่างเวียดนามก็กำลังประสบกับภาวะน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี ในพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญ โดยข้าวที่ปลูกในพื้นที่นี้คิดเป็นครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมดของประเทศ

“ระดับน้ำในต้นน้ำเริ่มลดลง แต่ที่นี่ระดับน้ำยังเพิ่มสูงถึง 35 ซม.ในแต่ละวัน” เดื่อง เหงียะ ก๊วก ผู้อำนวยการกรมเกษตรกรรมจังหวัดด่งท้าป กล่าว โดยนาข้าวในจังหวัดด่งท้าปนั้นได้รับความเสียหายถึง 6.2 แสนไร่ มากที่สุดจังหวัดหนึ่งของเวียดนามและคิดเป็นมูลค่าสูง 2.7 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยว่า ระดับน้ำท่วมในเวียดนามครั้งนี้สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2543 โดยคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 11 คน และท่วมบ้านเรือนกว่า 2 หมื่นหลัง ใน 5 จังหวัด

และที่น่าเป็นห่วงขณะนี้คือ นาข้าวอีกกว่า 562,500 ไร่ ทั่วประเทศเสี่ยงต่อการถูกทำลายหากฝนยังคงตกลงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เวียดนามเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับสองของโลก โดยในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.ก.ย.ของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวแล้วมากกว่า 5.8 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ

ด้าน วู เทียน กว๋าง สมาชิกสมาคมชาวนาของจังหวัดด่งท้าปชี้ว่า นอกจากอุทกภัยครั้งนี้จะทำลายพืชผลของชาวนาจนหมดสิ้นแล้ว การขาดแคลนน้ำและไฟฟ้ายังส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่และการทำการเกษตรของชาวนาเป็นไปอย่างยากลำบากแสนสาหัสอีกด้วย

อู่ข้าวอู่น้ำเอเชียจมบาดาล หวั่นราคาอาหารพุ่ง

 

หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ แม้แต่จะเริ่มต้นนับหนึ่งปลูกข้าวกันใหม่ก็ยังทำไม่ได้จนกว่าน้ำจะแห้ง ซึ่งคาดว่าจะกินเวลาอีกหลายเดือน

ขณะเดียวกันสถานการณ์ในลาวและกัมพูชาก็เข้าขั้นวิกฤตเช่นกัน โดยที่ลาวนั้น ซึ่งเป็นชาติที่ยากจนที่สุดชาติหนึ่งในอาเซียน พายุโซนร้อนซึ่งได้พัดถล่มเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 23 คน และทำลายนาข้าวอีกกว่า 3.75 แสนไร่

ต่อมาเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา นาข้าวก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักอีกครั้งเมื่อมีการปล่อยน้ำจากเขื่อนบริเวณแม่น้ำโขง

ในส่วนของกัมพูชา กระทรวงการเกษตร เปิดเผยว่า น้ำเข้าท่วมนาข้าวแล้ว 2.6 ล้านไร่ โดยในจำนวนนี้ราว 6.25 แสนไร่ถูกทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ซากแล้ว

แม้ก้มพูชาจะไม่ได้เป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก แต่นักวิเคราะห์ก็ชี้ว่า เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศเพราะโดยปกติแล้วผลผลิตข้าวนั้นคิดเป็น 7.5% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เลยทีเดียว ซึ่งหากถูกทำลายก็จะส่งผลกระทบต่อดุลการค้าของประเทศ

ไกลออกไปทางซีกตะวันตก ปากีสถาน ซึ่งเผชิญภาวะน้ำท่วมมาระยะหนึ่งแล้ว ก็ต้องเผชิญกับน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตเพาะปลูกข้าว ซึ่งได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าราว 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ด้านพืชผลในอินเดียก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคตะวันออกของประเทศเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้เอเชียถูกพายุหลายลูกเล่นงานอย่างหนักในปีนี้ก็คือ ปรากฏการณ์โลกร้อน ซึ่งทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน เอเชียจึงต้องเผชิญกับปริมาณฝนที่ตกลงมาหนักมากอย่างผิดปกติ

ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็มองว่า การสร้างระบบคันกั้นน้ำบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงจำนวนมากก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เนื่องจากช่วยป้องกันน้ำท่วมได้ในบางพื้นที่ได้แต่ขณะเดียวกันก็ยิ่งกระตุ้นให้เกิดน้ำท่วมมากขึ้นในพื้นที่อื่นๆ

“หากคุณกั้นน้ำที่หนึ่ง น้ำก็จะต้องไหลไปอีกที่ ซึ่งหมายความว่าก็จะต้องเกิดท่วมอยู่ดี” บุ่ยมีงตาง ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาและอุทกศาสตร์กลางกรุงฮานอยของเวียดนาม กล่าว

ดังนั้น เมื่ออู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของเอเชียเหล่านี้ได้รับความเสียอย่างหนัก นักวิเคราะห์จึงหวั่นว่า ราคาข้าวจะต้องพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน “ทวีปเอเชียกำลังประสบกับปัญหาราคาอาหารแพงขึ้น ในขณะที่ผลผลิตถูกทำลายซึ่งเป็นความเสียหายที่หนักหนาสาหัสสำหรับปีนี้” มาร์กาเรตา วาห์สทรอม หัวหน้าฝ่ายลดภัยพิบัติ ประจำยูเอ็น กล่าว

ความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้ยิ่งเพิ่มความกังวลให้กับหลายฝ่ายที่กำลังวิตกเกี่ยวกับผลกระทบต่อราคาข้าวในตลาดโลกจากโครงการรับจำนำข้าวที่ตันละ 1.5 หมื่นบาท ของรัฐบาลไทย โดยเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมานั้น สำนักข่าวบลูมเบิร์กเตือนว่า ภูมิภาคเอเชียทั้งหมดอาจต้องรับกรรมจากนโยบายจำนำข้าวในราคาสูงของรัฐบาลชุดใหม่ เพราะไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ดังนั้นนโยบายดังกล่าวจะทำให้ราคาข้าวทั่วภูมิภาคเอเชีย ซึ่งบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก คิดเป็น 87% ของทั้งโลกเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ ต่างชาติคาดว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้ข้าวหอมมะลิปรับขึ้นจากตันละกว่า 900 เหรียญสหรัฐ ไปเป็นตันละ 1,400 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ข้าวขาวปรับจากตันละ 500 เหรียญสหรัฐเป็น 800 เหรียญสหรัฐ

“ทั้งภูมิภาคจะได้รับผลกระทบจากราคาอาหารที่สูงขึ้น เพราะเก็บเกี่ยวพืชผลไม่ได้ โดยความเสียหายปีนี้ถือว่าร้ายแรงมาก และจะต้องอาศัยระยะเวลาอีกพักหนึ่งก่อนผู้คนจะกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามเดิม” วาห์สทรอม กล่าว

ดังนั้น เห็นทีรัฐบาลประเทศต่างๆ อาจต้องทบทวนนโยบายกันใหม่เพื่อที่พอวิกฤตน้ำท่วมคลี่คลายแล้ว ประชาชนจะได้ไม่ต้องปวดหัวกันอีกรอบกับปัญหาราคาอาหาร  

 

ข่าวล่าสุด

“สีหศักดิ์” เตรียมประชุมอาเซียนนัดพิเศษที่มาเลเซีย ถกปมกัมพูชา 22 ธ.ค.นี้