เจ้าหญิงองค์สุดท้ายของเกาหลี 'ต๊อก-ฮเย ผู้อาภัพ
หลังจากเร้นตัวจากเมืองไทยมาเกาหลีอย่างเงียบๆ ได้ไม่กี่วัน “กินของชอบ ช็อปของโปรด”
หลังจากเร้นตัวจากเมืองไทยมาเกาหลีอย่างเงียบๆ ได้ไม่กี่วัน “กินของชอบ ช็อปของโปรด”
นอนตีพุงอย่างมีความสุขแล้วก็ถึงเวลางานค่ะ จึงออกจากบ้านเพื่อนที่ “อิลซานเมืองใหม่” ใกล้สนามบินอินชอน เดินทางเข้าโซลโดยใช้รถบัสแอร์ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้อยู่ไม่น้อย...อะเมซิงจริงๆ แฮะ มีบริการ Wi-Fi “ฟรี” ด้วย... เรียกว่าไปเกาหลีคราวนี้แทบไม่ต้องใช้โรมมิงราคาแพงเลย ในหลายๆ ที่สาธารณะให้บริการฟรี WiFi ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมแชต WhatsApp หรือ Skpye ก็งัดออกมาใช้ติดต่อคนที่เมืองไทยได้ไม่เสียสตางค์ (ดีใจจังค่ะ ฮ่าๆ)...อ้าว คุยเรื่องอื่นเพลิน...ถึงที่หมายแล้วค่ะ
นั่นไง กวางฮวามุน ประตูเมืองอันเลื่องชื่อที่ใครๆ มาเกาหลีต้องมาถ่ายรูปคู่กับท่าน “แม่ทัพอีซุนซิน” และ “พระเจ้าเซจง” ที่นั่งเป็นสง่าอยู่หน้าทางเข้าพระราชวังคยองบกกุง...มองทางด้านซ้ายมือของท่านแม่
ทัพจะเห็นตึก “เคียวโบ” ที่ที่เราจะไปหาอาหารสมองกัน “เชกา” หันไปยืนตรงคำนับขอบคุณท่านแม่ทัพที่ยืนทำหน้าที่บอกทางให้อีกครา แล้วจึงกระโดดเข้าที่ร้านหนังสือเคียวโบ ตามภารกิจหลักที่ต้องทำให้สำเร็จก่อน จากนั้นหมายมั่นว่าจะต้องไปดูเครื่องเขียน สีน้ำ และพู่กันให้ได้ (สีน้ำเกาหลีสีสวยเนียนใสได้ใจเลยค่ะ มีหลายระดับทั้งของผู้เริ่มหัดและมืออาชีพ) ไม่รอช้าพุ่งตรงฝ่าฝูงชนเข้าไปมุมหนังสือ Best Seller
โอ๊ย...โอ๊ย ทำไมผู้คนมากันมากมายเหมือนมีงานบุ๊กแฟร์ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์...ปานนั้น ทำตัวลีบเบี่ยงไปมา ดูหนังสือ Best Seller ที่มีกว่าร้อยเล่ม เกือบสองชั่วโมงที่หยิบเล่มนั้นดูเล่มนี้ อ่านคำนำ ดูบทย่อ จนมาเจอหนังสือขายดีเล่มหนึ่ง...หน้าปกเป็นภาพวาดการ์ตูนของสุภาพสตรีเกาหลีในชุดฮันบกนั่งอยู่ ดูเศร้าสร้อยซะเหลือเกิน ภาพออกมาสวยสะดุดตามากค่ะ เธอเป็นเจ้าหญิงองค์สุดท้ายของเกาหลี ชื่อ “ต๊อกฮเย องจู”.
ในโบราณราชประเพณี เจ้าหญิงที่มีพระราชสมภพจากกษัตริย์กับพระสนม เรียกว่า “องจู” ส่วน “คงจู” คือเจ้าหญิงราชธิดาของกษัตริย์กับพระราชินี... “ต๊อก-ฮเย องจู” เป็นพระธิดาของจักรพรรดิ “กวางมู” กับพระสนม “บุ๊ก-นยอง” เมื่อทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงเป็นที่รักสนิท เสน่หาแก่พระราชบิดาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นพระธิดาน้อยองค์สุดท้อง ผู้สามารถสร้างความสุขปลอบประโลมพระหทัยให้แก่พระราชบิดาอย่างยิ่งในเวลาที่บ้านเมืองกำลังถูกกลืนชาติต้องตกเป็นเมืองขึ้นของผู้อื่นโดยที่ทำอะไรไม่ได้จนถึงกับต้องสิ้นชาติราชวงศ์
เจ้าหญิงน้อยมีพระราชสมภพที่พระราชวังชางด๊อกกุง วังที่มีสวนพระราชฐานชั้นในที่สวยที่สุดในเกาหลี เมื่อ 99 ปีก่อน (พ.ศ. 2455) ซึ่งเป็นปีที่พระราชบิดามีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษาพอดี เมื่อมีพระชนมายุได้ 5 พรรษา จึงได้รับการบันทึกพระนามเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์ (เกาหลีในสมัยโบราณเคร่งครัดเรื่องการสืบเชื้อสายมาก ทายาทของภรรยาหลวงเท่านั้นจะได้บันทึกชื่อในสาแหรกตระกูล รวมถึงการได้รับยศถาบรรดาศักดิ์และมรดกตกทอด) พระราชบิดาทรงปรารถนาให้เจ้าหญิงได้เล่าเรียนศึกษา จึงได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลสำหรับเด็กหญิงใน “พระราชวังต๊อกซูกุง” ขึ้นเป็นครั้งแรก และทรงอนุญาตให้เด็กหญิงวัยเดียวกันจากตระกูลขุนนางได้เข้ามาเรียนกับเจ้าหญิงด้วย ครั้นเมื่อพระชนมายุได้ 7 พรรษา จึงได้ถูกหมั้นหมายกับหลานชายของเสนาบดีคนสำคัญของประเทศ เพื่อความมั่นคงของราชวงศ์...ชีวิตเมื่อทรงพระเยาว์ของเจ้าหญิง จึงเป็นช่วงเวลาในชีวิตพรั่งพร้อมไปด้วยความรักและมีความสุขที่สุด
เค้าลางของความทุกข์และโศกเศร้าที่ยาวนานในชีวิต ได้เริ่มขึ้นเมื่อเจ้าหญิงมีพระชนมายุเพียง 13 พรรษา เจ้าหญิงได้ถูกส่งไปกักตัวที่ญี่ปุ่นซึ่งปกครองเกาหลีอยู่ในขณะนั้น โดยมีเหตุผลหน้าฉากว่าไปศึกษาต่อ เจ้าหญิงกลายเป็นคนเงียบขรึมและชอบอยู่คนเดียวตั้งแต่ก้าวสู่แผ่นดินญี่ปุ่น และเพียงหนึ่งปีให้หลัง พระราชบิดาได้สวรรคตลง นำความโศกเศร้ามาแก่เจ้าหญิงยิ่งนัก แม้อยากจะเสด็จกลับไปงานพระราชพิธีพระศพชั่วคราว ก็ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากทางการญี่ปุ่นเท่านั้น เจ้าหญิงทรงเริ่มมีอาการทางจิต บรรทมละเมอ และไม่เสวยน้ำและพระกระยาหารอยู่เสมอๆ จนต้องได้รับการบำบัดทางจิต
เจ้าชายเจ้าหญิงผู้เป็นทายาทสืบเชื้อสายของกษัตริย์เกาหลีถูกกักไว้เป็นตัวประกันที่ญี่ปุ่นหลายพระองค์ ในฐานะนักศึกษา แม้แต่ “ต๊อก-ฮเย องจู” ผู้ที่พระราชบิดารักที่สุดก็ไม่สามารถขัดขืนได้ เจ้าหญิงจึงได้รับคำสั่งให้อภิเษกสมรสโดยด่วน เมื่อพระชนมายุเพียง 19 พรรษา กับขุนนางญี่ปุ่น ชื่อ ท่านโซ ทาเคยูกิ พระเชษฐาซึ่งเป็นองค์รัชทายาทได้ใช้ปัญหาสุขภาพมาเป็นข้ออ้างให้แก่เจ้าหญิงว่ายังไม่พร้อม แต่เมื่อพระอาการดีขึ้น รัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดให้มีพระราชพิธีอภิเษกสมรสนี้ทันที
หนึ่งปีให้หลัง เจ้าหญิงได้ให้กำเนิดพระธิดา มีพระนามว่า “มาซาเอะ” ทว่าการมีพระธิดาไม่สามารถช่วยให้เจ้าหญิงพระอาการดีขึ้นได้เลย เพราะบาดแผลฝังลึกเกินกว่าความรักจะซึมซาบเข้าไปแก้ไขได้ ทำให้ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลต่อเดือนละหลายๆ ครั้ง ต่อมาความอดทนกับการอภิเษกสมรสด้วยเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศมาถึงจุดสุดท้ายเมื่อเกาหลีเป็นอิสระจากญี่ปุ่น จบสิ้นการอภิเษกสมรสที่ไม่มีความสุข 24 ปี ...ทว่าเหตุการณ์ร้ายแรงในชีวิตได้เกิดขึ้น พระธิดา “มาซาเอะ” ได้ฆ่าตัวตายในพระชันษา 23 ปี ความสูญเสียนี้ใหญ่เกินกว่าที่จะบรรยายได้


