posttoday

จากยาจกสู่จักรพรรดิ(1)

18 กันยายน 2554

หากเอ่ยชื่อของจักรพรรดิจีนที่ชาวไทยคุ้นหูเป็นอย่างดี ก็คงมีชื่อของจิ๋นซีฮ่องเต้

หากเอ่ยชื่อของจักรพรรดิจีนที่ชาวไทยคุ้นหูเป็นอย่างดี ก็คงมีชื่อของจิ๋นซีฮ่องเต้

จักรพรรดิถังไท่จง จักรพรรดิคังซี จักรพรรดิยงเจิ้ง จักรพรรดิเฉียนหลง ปรากฏอยู่ในทำเนียบโอรสสวรรค์แดนมังกร โดยที่แต่ละพระองค์ต่างทรงมีพระปรีชาสามารถมากน้อยแตกต่างกันไป การจะกล่าวว่าจักรพรรดิองค์ใดยิ่งใหญ่เหนือกว่าองค์ใดคงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันไม่รู้จบ เพราะมีการค้นพบข้อมูลใหม่ๆ ทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงความน่าทึ่งของผู้นำแต่ละพระองค์ในแง่มุมที่หลากหลาย

ในวันนี้เราจะหยุดพักการหยิบยกเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิในหน้าประวัติศาสตร์จีน แล้วเปลี่ยนบรรยากาศมาดูเส้นทางการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจักรพรรดิเหนืออาณาจักรจีนที่เกรียงไกรของจักรพรรดิที่มีพื้นเพชีวิตมาจากชนชั้นล่าง และเป็นจักรพรรดิจีนเพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นที่ไม่ได้สืบทอดราชบัลลังก์จากพระบิดา แต่เป็นคนธรรมดาที่ไต่เต้าขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินที่เลื่องชื่อพระองค์หนึ่งของจีน เส้นทางสู่ความสำเร็จของพระองค์นั้นน่าสนใจมากทีเดียว จักรพรรดิที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ก็คือ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ หรือ จูหยวนจาง นั่นเอง

จากยาจกสู่จักรพรรดิ(1)

จักรพรรดิหมิงไท่จู่ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิงถือเป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 ในประวัติศาสตร์จีนต่อจากกษัตริย์ฮั่นโกโจแห่งราชวงศ์ฮั่น ที่ไต่เต้าจากการเป็นสามัญชนขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดของจีน การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชั้นล่างที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบากเป็นเวลานาน ย่อมส่งผลต่อมุมมองในการบริหารบ้านเมืองของพระองค์ กล่าวคือ ด้านหนึ่งทรงรู้ซึ้งถึงความทุกข์ของเหล่าราษฎรเป็นอย่างดี จึงดำเนินนโยบายผ่อนปรนนานัปการให้แก่คนกลุ่มนี้ แต่อีกด้านหนึ่งก็ทรงโกรธแค้นบรรดาขุนนางคอร์รัปชันที่จ้องขูดรีดประชาชนที่ไร้ทางสู้ จึงดำเนินมาตรการปราบปรามการทุจริตอย่างรุนแรงหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เพียงไม่นาน

พระองค์ทรงมีแซ่เดิมว่า “จู” ชื่อว่า ฉงปา จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็นจงซิง หลังจากเข้าร่วมขบวนการกบฏชาวนาช่วงปลายยุคราชวงศ์หยวน ก็เปลี่ยนชื่อเป็นเต๋ออวี้และหยวนจาง ตามลำดับ พระองค์ทรงถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในอำเภอเฟิ่งหยาง มณฑลอานฮุย นอกจากจะใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างอดมื้อกินมื้อแล้ว ยังต้องก้มหน้ารับชะตากรรมจากภัยแล้งที่เกิดติดต่อกันยาวนานหลายปี ซ้ำร้ายไปกว่านั้น บิดา มารดา และพี่ชายคนโต ต้องมาเสียชีวิตจากโรคระบาด ทำให้ทรงกลายเป็นเด็กกำพร้าและไร้ที่พึ่งพิง ไม่มีแม้แต่เงินทำศพ เพื่อนบ้านสกุลหลิวเห็นแล้วก็เกิดความสงสาร จึงแบ่งที่ดินให้ใช้ในการฝังศพ อย่างไรก็ดีเพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอด พระองค์และพี่น้องที่เหลือจำต้องแยกย้ายกันไปรับจ้างหาเลี้ยงชีพ ความขมขื่นในวัยเด็กเป็นบาดแผลลึกที่ฝังอยู่ในใจของพระองค์และทรงเสียพระทัยทุกครั้งที่หวนคิดถึงชีวิตในช่วงเวลานั้น

จูหยวนจางเริ่มชีวิตเร่ร่อนด้วยการไปบวชเณรที่วัดหวงเจวี๋ยซื่อ แต่ภัยแล้งที่เกิดขึ้นติดต่อกันยาวนาน ทำให้วัดประสบปัญหาไม่น้อย เป็นเหตุให้พระและเณรในวัดต้องออกธุดงค์ไปตามถิ่นต่างๆ ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ระหกระเหินไปตามเมืองต่างๆ เช่น หลูโจว กว่างโจว หยู่โจว อิ่งโจว ฯลฯ ทำให้ได้เปิดโลกทัศน์ให้แก่ตนเองและสามารถสั่งสมประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย ที่สำคัญ เขาค้นพบว่าสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรเลวร้ายลงทุกวัน บ้านเมืองกำลังก้าวสู่ความเสื่อมถอย จนรู้สึกได้ว่าหายนะกำลังจะมาเยือน

แน่นอนว่า การอยู่อย่างไร้หลักแหล่งเป็นเวลานาน ย่อมหล่อหลอมให้เขากลายเป็นผู้ที่มีนิสัยกล้าแกร่งและเด็ดเดี่ยว ขณะเดียวกันความเป็นผู้มีจิตใจเหี้ยมโหดและริษยา ก็เป็นข้อเสียที่ติดตัวเขามาเช่นกัน ประสบการณ์ชีวิตในช่วงนี้ถือว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อตัวตนที่แท้จริงของเขาภายหลังการขึ้นครองราชย์

ปี ค.ศ. 1349 เขาได้บวชเป็นพระ แต่อยู่ในสมณเพศได้เพียง 4 ปี ก็สึกออกมา เนื่องจากบ้านเมืองเกิดการเคลื่อนไหวขับไล่ชนชั้นปกครองที่เป็นพวกมองโกลออกจากแผ่นดิน หลังจากที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มกบฏชาวนา ก็สาบานตนว่า “หากวันใดได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุด ภารกิจแรกที่จะดำเนินการ คือ ปราบปรามเหล่าขุนนางคอร์รัปชัน”

จากยาจกสู่จักรพรรดิ(1)

จูหยวนจางเลือกเข้าร่วมกลุ่มกบฏชาวนาที่มีกัวจื่อซิงเป็นผู้นำ โดยใช้เมืองหางโจวเป็นที่มั่น เนื่องจากความกล้าหาญชาญชัยและความเก่งกาจด้านการศึกของเขาโดดเด่นกว่าผู้อื่น จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งในเวลารวดเร็ว ผลงานด้านการรบของเขาเป็นที่น่าพอใจจนกัวจื่อซิงถึงกับยกหม่าซิ่วอิงธิดาบุญธรรมให้เป็นภรรยา

แต่แล้วกัวจื่อซิงและบุตรชายก็เกิดความระแวงในตัวจูหยวนจาง เขาจึงตัดสินใจพาภรรยากลับไปอยู่ที่บ้านเกิด และชักชวนสมัครพรรคพวกจัดตั้งเป็นกองกำลังที่เพิ่มจำนวนคน จาก 700 คน มาเป็น 2 หมื่นคน ภายในเวลา 2 ปี จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นเรือนแสนในเวลาต่อมา กลุ่มกบฏชาวนาที่มีเขาเป็นผู้นำสามารถพิชิตดินแดนน้อยใหญ่แถบเจียงหนาน จากนั้นก็กรีธาทัพบุกขึ้นไปยังดินแดนทางตอนเหนือ

ในที่สุดเขาได้ยกทัพไปถึงนครต้าตูเมืองหลวงของราชวงศ์หยวน (ปัจจุบันคือเมืองปักกิ่ง) ในเวลานั้นราชสำนักหยวนกำลังอยู่ในภาวะตกต่ำ ขุนนางเอาแต่ตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัว ประกอบกับจักรพรรดิซุ่นตี้ทรงหูเบาเชื่อคำแนะนำของลามะชั้นผู้ใหญ่ไม่สนใจราชกิจ กองทัพก็อ่อนแอลง เมื่อต้องรับศึกกับกองทัพที่เกรียงไกร นำโดยขุนศึกเจนสนามรบอย่างจูหยวนจาง กองทัพแห่งราชวงศ์หยวนก็ต้องพบกับความปราชัย จักรพรรดิซุ่นตี้ทรงพาพระญาติและชาวมองโกลจำนวนหนึ่งหนีออกนอกด่านไปอยู่ที่เมืองซ่างตู

เดือน 8 ปี ค.ศ. 1367 กลุ่มกบฏโพกผ้าแดงภายใต้การนำของจูหยวนจาง สามารถเข้ายึดครองเมืองต้าตูเป็นผลสำเร็จ ปิดฉากการปกครองอาณาจักรจีนโดยชนเผ่ามองโกลที่กินระยะเวลายาวนานถึง 91 ปี

หลังจากโค่นล้มราชวงศ์หยวนเป็นผลสำเร็จ จูหยวนจางก็สถาปนาราชวงศ์หมิง และตั้งตนเป็นฮ่องเต้ที่เมืองอิ้งเทียน (หนานจิงในปัจจุบัน) และประกาศใช้ศักราชหงอู่อย่างเป็นทางการในเดือนอ้าย ปี ค.ศ. 1368

พระองค์ทรงรู้ว่าการปกครองที่ไร้ประสิทธิภาพของราชสำนัก ย่อมส่งผลต่อทุกข์สุขของราษฎร ดังนั้นหลังจากขึ้นครองราชย์จึงทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่อาณาประชาราษฎร์ บ้านเมืองจีนภายใต้การปกครองของจักรพรรดิผู้นี้กลับสู่ภาวะปกติสุขอีกครั้ง ทั้งนี้ทรงตระหนักถึงเหตุแห่งความล่มสลายของราชวงศ์หยวนว่า นอกจากจะเกิดจากการคอร์รัปชันของขุนนางในราชสำนักแล้ว การแทรกแซงทางการเมืองของเหล่าขันทีในแผ่นดินจีน ก็นำภัยอันใหญ่หลวงมาสู่ราชสำนักเช่นกัน จึงมีพระราชโองการให้จารึกแผ่นเหล็กประกาศห้ามขันทียุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการ ผู้ฝ่าฝืนกำหนดโทษประหารสถานเดียว พร้อมกันนี้ยังลดบทบาทของอัครเสนาบดี โดยรวบอำนาจการปกครองไว้ที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว ส่งผลให้ฎีกาและข้อราชการต่างๆ ที่หลั่งไหลมาจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ส่งตรงมาถึงพระองค์โดยตรง การบริหารบ้านเมืองจึงเป็นไปอย่างราบรื่น

 

ข่าวล่าสุด

ผ่าต้นทุนยุทโธปกรณ์ งบกองทัพ ศึกไทย-กัมพูชา แตะวันละ 2 พันล้านบาท