รหัสลับใต้ฝ่าเท้า
“มนุษย์มีเท้าเปรียบเหมือนต้นไม้มีราก
“มนุษย์มีเท้าเปรียบเหมือนต้นไม้มีราก ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา
ย่อมเกิดที่บริเวณรากเป็นอันดับแรก มนุษย์เราก็เช่นกัน ยามเราแก่เฒ่าเท้าก็เสื่อมสภาพก่อนส่วนอื่นๆ ของร่างกาย” คำกล่าวที่หยิบยกมานี้ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเท้าที่มีผลต่อสุขภาพของคนเรา อวัยวะส่วนนี้ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนให้เราเดินทางไปยังทุกหนทุกแห่งตามใจปรารถนา ดังนั้นหากเราดูแลรักษาและนวดฝ่าเท้าอยู่เป็นประจำ ย่อมช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย
ย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน มนุษย์เรายังไม่มีรองเท้าใส่ คนในยุคนั้นต่างเดินเท้าเปล่าไปประกอบกิจกรรมประจำวัน เท้าจึงเป็นอวัยวะที่ถูกใช้งานอย่างสมบุกสมบัน ยามที่เกิดความรู้สึกดีใจก็จะเต้นระบำเป็นจังหวะหรือไม่ก็กระโดดออกกำลังกายในช่วงที่อากาศหนาวเย็น พวกเขาพบว่าหลังจากที่ผ่านการเคลื่อนไหวดังกล่าว จะเกิดพลังงานความร้อนบริเวณฝ่าเท้า รู้สึกมีกำลังวังชาและกระปรี้กระเปร่า คลายความเหนื่อยล้า ยามที่ไม่สบาย จะรู้สึกเจ็บที่บริเวณเท้า แต่พออาการทุเลาลง ความรู้สึกเจ็บก็ค่อยๆ ลดน้อยลง
การนวดฝ่าเท้าปรากฏครั้งแรกราว 5,000 กว่าปีก่อนในยุคกษัตริย์หวงตี้ ถือเป็นศาสตร์การแพทย์แผนโบราณของจีนแขนงหนึ่งที่ตั้งอยู่บนหลักการรักษาเดียวกับการฝังเข็มในยุคโบราณ เมื่อเกิดอาการเจ็บปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายอันเป็นผลจากอุบัติเหตุหรือปัจจัยแวดล้อมทางธรรมชาติ ผู้คนยุคนั้นอาจเจตนาหรือไม่เจตนาในการใช้มือหรืออุปกรณ์บางอย่างไปกระทุ้งที่บริเวณฝ่าเท้า แล้วรู้สึกว่าอาการเจ็บที่เกิดขึ้นบรรเทาลง จากนั้นก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่าการกระตุ้นบริเวณฝ่าเท้า ช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ จึงเป็นที่มาของศาสตร์การนวดฝ่าเท้า ทว่าการนวดฝ่าเท้าไม่ได้สืบทอดกันอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการผลัดเปลี่ยนยุคสมัยบ่อยครั้ง เหตุจากภัยธรรมชาติและศึกสงครามที่เกิดอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นของระบอบศักดินาของจีน
ครั้นเมื่อสังคมได้รับการพัฒนา บ้านเมืองมีความเป็นปึกแผ่นมากขึ้น แนวคิดเรื่องการเสริมสร้างร่างกายด้วยการนวดฝ่าเท้าก็กลับมาเป็นที่นิยมอย่างมากในยุคราชวงศ์ฉิน และแพร่หลายกันในยุคต่อๆ มา โดยเฉพาะยุคราชวงศ์ถัง จัดว่าได้รับความนิยมอย่างสูง การนวดฝ่าเท้าเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองฉางอัน—ราชธานีจีนที่มีความเฟื่องฟูที่สุดแห่งหนึ่งของโลกยุคนั้น ประเทศญี่ปุ่นเองก็ได้รับการเผยแพร่ศาสตร์แขนงนี้ในยุคดังกล่าวเช่นกัน ขณะที่ชาวยุโรปเริ่มรู้จักศาสตร์การนวดฝ่าเท้าราวยุคราชวงศ์หยวน แม้แต่กวีเอก ซูตงปอแห่งยุคราชวงศ์ซ่งเหนือ ที่ให้ความสนใจในเรื่องการบำรุงรักษาสุขภาพ ยังเห็นว่าการนวดฝ่าเท้าว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก โดยกล่าวไว้ว่า “ประสิทธิภาพไม่เห็นผลทันตา หากนวดติดต่อกันนานร้อยกว่าวัน ผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย หากเชื่อก็ให้ปฏิบัติตาม ย่อมมีคุณประโยชน์ล้นเหลือ”
อย่างไรก็ดี การตกอยู่ภายใต้การปกครองระบอบศักดินายาวนาน 2,000 กว่าปี ย่อมก่อให้เกิดแนวคิดเรื่องการปกปิดเท้าให้มิดชิด การเปลือยเท้าถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงปฏิบัติ ยิ่งในยุคราชวงศ์ซ่งที่มีธรรมเนียมการรัดเท้าอิสตรี ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของการนวดฝ่าเท้าเพื่อรักษาสุขภาพ ตำราการแพทย์ที่ว่าด้วยเรื่องดังกล่าวจึงค่อยๆ สูญหายและลดจำนวนลงอย่างมาก กระทั่งยุคราชวงศ์หมิง การนวดฝ่าเท้าก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง เมื่อบรรดาแพทย์ต่างมองว่าเป็นวิธีการรักษาสุขภาพที่ได้ผล หลี่สือเจิน แพทย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นแสดงทัศนะไว้ว่า “ความเย็นเริ่มเข้าสู่ร่างกายจากบริเวณฝ่าเท้า” ดังนั้น เท้าจึงเป็นต้นตอในการรักษาโรค เคล็ดลับอายุยืนประการหนึ่งของราชาสมุนไพรอย่างซุนซือเม่าคือ การนวดฝ่าเท้าทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณจุดหย่งเฉวียน (ตรงใจกลางฝ่าเท้า)
ฝ่าเท้าของคนเราประกอบด้วยเส้นเลือดและเส้นประสาทที่มีส่วนสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับอวัยวะภายในและประสาทสมองส่วนกลาง ดังนั้นการกระตุ้นตามจุดต่างๆ ใต้ฝ่าเท้า ย่อมส่งสัญญาณไปถึงอวัยวะภายใน เนื่องจากฝ่าเท้าเป็นบริเวณที่ไกลจากหัวใจมากที่สุด จึงง่ายต่อการเกิดการติดขัดของโลหิตที่ไหลเวียน เมื่อเป็นเช่นนี้ของเสียจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย จึงมักจะมาสะสมในบริเวณดังกล่าว ยามที่ร่างกายไม่สบาย จุดต่างๆ บนฝ่าเท้าจะเป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่ง ซึ่งมนุษย์เราสามารถรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินั้น ความลับใต้ฝ่าเท้าที่เกิดจากการค้นพบโดยความบังเอิญของชาวจีนยุคโบราณ กลายเป็นศาสตร์แห่งสุขภาพที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อชนรุ่นหลัง เมื่อผ่านการทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจหลักการนวดฝ่าเท้าอย่างเป็นระบบ นั่นคือยามใดที่อวัยวะภายในเกิดความผิดปกติ จุดต่างๆ ใต้ฝ่าเท้าจะคอยบ่งบอกความผิดปกติ ขณะเดียวกันยังเป็นดัชนีวัดความทุเลาของอาการเจ็บป่วยได้อีกทางหนึ่งด้วย
การนวดฝ่าเท้าเป็นวิธีการรักษาที่ไม่ต้องพึ่งยา อาศัยหลักการกระตุ้นจุดต่างๆ บริเวณฝ่าเท้า ก่อให้เกิดประสิทธิภาพหลัก 3 ประการคือ กระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนโลหิต ปรับความสมดุลให้แก่ระบบประสาทและช่วยให้เลือดลมภายในร่างกายเดินคล่อง
ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป วิถีชีวิตของชาวจีนก็เริ่มมีความเร่งรีบขึ้น แรงกดดันด้านต่างๆ ถาโถมเข้าใส่ เวลาในการออกกำลังกายก็ลดน้อยถอยลง อาหารที่รับประทานก็ขาดความสมดุลทางโภชนาการ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบ่อเกิดแห่งโรคที่พร้อมจะเข้าจู่โจมร่างกายที่ค่อยๆ เสื่อมโทรมลงทุกวัน นำไปสู่การเป็นผู้มีสุขภาพอ่อนแอ ซึ่งโดยมากมักเกิดจากการขาดการออกกำลังกายเป็นหลัก แตกต่างจากชาวจีนยุคโบราณที่ทำไร่ไถนาทั้งวันด้วยเท้าเปล่า ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นอยู่ตลอดทั้งวันจนทำให้เกิดการเสียดสีกัน กระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนโลหิตภายในร่างกาย จึงไม่แปลกที่คนในยุคโบราณจะมีสุขภาพแข็งแรงกว่าคนในยุคปัจจุบัน
การนวดฝ่าเท้าเริ่มกลายเป็นอาชีพที่รัฐบาลจีนให้การยอมรับอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1999 นับจากนั้นมา การนวดฝ่าเท้าก็เปลี่ยนโฉมจากศาสตร์การแพทย์แผนโบราณที่แพร่หลายในหมู่ประชาชน มาเป็นวิชาชีพที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วไปในสังคม
ในอดีต กลุ่มคนที่นิยมการนวดฝ่าเท้าล้วนเป็นคนวัยกลางคนและวัยชราที่ใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคเรื้อรังนานาชนิด ความนิยมในเรื่องดังกล่าวแพร่หลายกันมากในหมู่วัยรุ่นที่พากันไปร้านนวดฝ่าเท้า เพื่อช่วยผ่อนคลายเส้นประสาทและอาการเหนื่อยล้าจากการทำงาน ดังนั้น การนวดฝ่าเท้าในสังคมยุคใหม่จึงแบ่งเป็น การนวดเพื่อให้เกิดการผ่อนคลายและช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ขณะที่อีกทางหนึ่ง นวดเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งถือเป็นชนิดที่ต้องการผู้มีความรู้เฉพาะทางในการนวดสูง
จุดต่างๆ ใต้ฝ่าเท้าของมนุษย์เราจึงเป็นรหัสลับสู่การเป็นผู้มีสุขภาพดีนั่นเอง!


