posttoday

การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์

14 สิงหาคม 2554

จุดมืดที่ปรากฏบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ในช่วงปลายเดือน ก.ค. จนถึงต้น เดือน ส.ค. 2554

จุดมืดที่ปรากฏบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ในช่วงปลายเดือน ก.ค. จนถึงต้น เดือน ส.ค. 2554

ได้เพิ่มจำนวนและขยายใหญ่ขึ้น จนกระทั่งเกิดการลุกจ้าในวันที่ 9 ส.ค. ดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยพลังงานในระดับรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2549 นักดาราศาสตร์คาดหมายว่ากัมมันตภาพบนดวงอาทิตย์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจรุนแรงที่สุดในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักร 11 ปี

จุดมืดดวงอาทิตย์ (Sunspot) มีลักษณะเป็นจุดคล้ำอยู่บนผิวดวงอาทิตย์ บางจุดมีขนาดใหญ่กว่าโลก หากมีหลายจุดอยู่รวมกันเป็นกระจุกใหญ่ สามารถสังเกตเห็นได้เมื่อดูผ่านแผ่นกรองแสงแบบที่ใช้ดูดวงอาทิตย์ในขณะเกิดสุริยุปราคา โดยไม่ต้องอาศัยกล้องโทรทรรศน์ บริเวณจุดมืดดังกล่าวมีสนามแม่เหล็กความเข้มสูงและมีอุณหภูมิต่ำกว่าโดยรอบ จึงปรากฏเป็นจุดคล้ำ เคลื่อนที่ช้าๆ ไปในแนวขนานกับเส้นศูนย์สูตร ตามการหมุนรอบตัวเองของดวงอาทิตย์

การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์

การลุกจ้า (Flare) คือปรากฏการณ์ที่ดวงอาทิตย์ระเบิดพลังงาน แสง และอนุภาคออกมาจากพื้นผิวเหนือบริเวณที่มีจุดมืด โดยใช้เวลาไม่กี่นาที ทำให้เกิดความร้อนสูงนับสิบหรือนับร้อยล้านองศาเซลเซียส จุดมืดดวงอาทิตย์มีจำนวนเพิ่มขึ้นและลดลงเป็นวัฏจักร เฉลี่ยสูงสุดทุกๆ 11 ปี การลุกจ้าจึงมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในช่วงที่มีจุดมืดจำนวนมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการลุกจ้าจะไม่เกิดในช่วงที่มีจุดมืดน้อยๆ

การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ในแต่ละครั้งมีความรุนแรงต่างกัน แบ่งเป็นระดับต่างๆ ตามความเข้มของรังสีเอกซ์ที่ดาวเทียมตรวจวัดได้ ได้แก่ ระดับเอ (Aclass) บี (B) ซี (C) เอ็ม (M) และเอกซ์ (X) เรียงจากน้อยไปหามากและเพิ่มขึ้นแบบลอการิทึม คล้ายการบอกขนาดความรุนแรงของแผ่นดินไหวในแต่ละระดับยังแบ่งย่อยได้อีก ระบุเป็นตัวเลขตามหลังตัวอักษร

โลกมีสนามแม่เหล็กและบรรยากาศเป็นเกราะป้องกัน การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์จึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อมนุษย์ หรือสิ่งปลูกสร้างบนพื้นโลก หากเราใช้ชีวิตแบบที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยี เราก็คงแทบไม่ได้รับผลกระทบจากการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนหลายคนแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลกระทบทางอ้อมจากพายุสุริยะจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้

การลุกจ้าตั้งแต่ระดับซีลงมามีผลกระทบน้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดอันตราย หรือแทบไม่มีผลกระทบใดๆ การลุกจ้าระดับเอ็มอยู่ในระดับปานกลาง ส่งผลกระทบเป็นเวลาสั้นๆ ต่อบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ของโลก ซึ่งเป็นชั้นที่สะท้อนคลื่นวิทยุ จึงรบกวนระบบการสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุ และจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณใกล้ขั้วโลก และอาจส่งผลต่อนักบินอวกาศที่ออกปฏิบัติงานในอวกาศนอกยาน หรือนอกสถานีอวกาศ แบบเดียวกับอันตรายจากการได้รับรังสี แต่มีความเข้มสูงกว่า

การลุกจ้าที่ต้องระวังมากที่สุดคือ ระดับเอกซ์ สิ่งที่มักเกิดขึ้นตามมาด้วย คือการพ่นมวลสารที่เรียกว่าการพ่นมวลคอโรนา หรือซีเอ็มอี (Coronal mass ejection : CME) หากมวลสารดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคมีประจุ เช่น โปรตอน อิเล็กตรอน ฯลฯ เคลื่อนที่ในทิศทางพุ่งมาที่โลกโดยตรง อาจสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์และเซลล์สุริยะบนดาวเทียม บรรยากาศโลกจะขยายตัวทำให้วงโคจรของดาวเทียมเปลี่ยนแปลงไปจากที่ควรจะเป็น

ผู้ที่เดินทางด้วยเครื่องบินที่บินใกล้ขั้วโลกมีความเสี่ยงต่อการได้รับรังสี นักบินอวกาศที่อยู่นอกโลกต้องหลบอยู่ในที่ที่สามารถป้องกันรังสีได้ อนุภาคที่ถูกสนามแม่เหล็กโลกดักไว้ยังทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในบรรยากาศ มีส่วนทำให้ท่อส่งแก๊สและท่อส่งน้ำมันบนพื้นโลกสึกกร่อน ระบบไฟฟ้าอาจขัดข้องได้จากการระเบิดของหม้อแปลง ทำให้ไฟฟ้าดับเป็นเวลานาน

การลุกจ้าครั้งรุนแรงที่สุดที่ตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคที่มีดาวเทียมคอยเฝ้าสังเกตดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2546 จัดอยู่ในระดับสูงกว่า X28 รุนแรงกว่าการลุกจ้าที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2554 ซึ่งอยู่ในระดับ X6.9 อยู่หลายเท่า

การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์

เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงและบรรเทาผลกระทบอันเกิดจากการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ ปัจจุบันจึงมีดาวเทียมหลายดวงคอยเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ สามารถเตือนได้ล่วงหน้า ก่อนที่อนุภาคพลังงานสูงจะเดินทางมาถึงโลก ขณะนี้กัมมันตภาพของดวงอาทิตย์กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เราจึงคาดหมายได้ว่าการลุกจ้าที่ดวงอาทิตย์น่าจะมีโอกาสเกิดได้บ่อยขึ้น นักดาราศาสตร์คาดว่าจุดมืดดวงอาทิตย์จะมีจำนวนมากที่สุดในปี 2556

ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (14–21 ส.ค.)

ท้องฟ้าเวลาหัวค่ำยังคงเห็นดาวเสาร์อยู่ทางทิศตะวันตกในกลุ่มดาวหญิงสาว ดาวเสาร์กำลังมีมุมห่างจากดวงอาทิตย์ลดลง ทำให้เมื่อเปรียบเทียบตำแหน่งในเวลาเดียวกันของแต่ละวัน จะเห็นว่าดาวเสาร์เคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ โดยอยู่สูงเหนือขอบฟ้าด้วยมุมเงยประมาณ 30 องศา เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด จากนั้นตกลับขอบฟ้าในเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง

เวลาเช้ามืดก็ยังคงเห็นดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดีอยู่บนท้องฟ้าทิศตะวันออก ดาวอังคารอยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ ดาวพฤหัสบดีอยู่ในกลุ่มดาวแกะ เวลาประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ดาวพฤหัสบดีจะขึ้นมาที่มุมเงย 10 องศา จากนั้นเวลาประมาณตี 3 ครึ่ง ดาวอังคารจะตามขึ้นมาที่ตำแหน่งใกล้เคียงกัน โดยค่อนไปทางซ้ายมือ หลังจากนั้นเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้า ดาวพฤหัสบดีจะขึ้นไปอยู่กลางท้องฟ้าเหนือศีรษะ ส่วนดาวอังคารอยู่ที่มุมเงยประมาณ 30 องศา

ช่วงนี้ดาวพุธและดาวศุกร์อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ จึงไม่สามารถสังเกตได้ วันที่ 16 ส.ค. ดาวศุกร์เคลื่อนไปอยู่ในแนวเดียวกับดวงอาทิตย์ โดยมีดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลางระหว่างโลกกับดาวศุกร์ วันที่ 17 ส.ค. ดาวพุธเคลื่อนมาอยู่ตรงกลางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์

ดวงจันทร์เต็มดวงในเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 14 ส.ค. ซึ่งตรงกับวันสารทจีน หลังจากนั้นจะเข้าสู่ข้างแรม ดวงจันทร์อยู่บนท้องฟ้าด้านทิศตะวันตกในเวลาเช้ามืดของทุกวัน เช้ามืดวันเสาร์ที่ 20 ส.ค. จะเห็นดวงจันทร์อยู่ใกล้ดาวพฤหัสบดีที่ระยะห่าง 8 องศา

 

ข่าวล่าสุด

4 หน่วยงานลุย "สะพานสมุย" พ่วงน้ำ-ไฟ-เน็ต แก้ปัญหาระยะยาว