อังกอร์:ยุคสมัยแห่งความระทม
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
สิ่งที่นักท่องเที่ยวผู้รักการผจญภัยทั้งหลายต้องการสัมผัส ก็คือวินาทีที่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ พร้อมไอร้อนแผ่วๆ กำลังอาบไล้นครวัด หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์งดงามที่มนุษย์ได้รังสรรค์ อันเป็นห้วงเวลาที่จะได้รับรู้ถึงความน่ายำเกรงและสงัดเงียบของนครสาบสูญแห่งนี้
ทว่า ห้วงเวลาที่ว่าคงเกิดขึ้นได้ยากเสียแล้ว ท่ามกลางคลื่นนักท่องเที่ยวกว่า 3,000 ชีวิต ซึ่งไหลบ่าตลอดทางลาดเนินเขาสูงชัน และเหยียบย่ำสิ่งปลูกสร้างจากหินอย่างไร้ความปรานี ตลอดจนนั่งซดเบียร์อย่างสบายใจบนยอดสูงสุดของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อดื่มด่ำทัศนียภาพยามพระอาทิตย์ตกของป้อมปราสาทหน้าตาคล้ายรวงผึ้ง ซึ่งเป็นใจกลางของนครโบราณปราสาทนครวัดแห่งนี้ (Angkor Wat)
ขณะที่เบื้องล่างเองก็อื้ออึงด้วยเสียงบรรยายของบรรดาไกด์นำทางผ่านโทรโข่ง บนรถประจำทางที่แล่นรอบปราสาท ซึ่งพยายามบอกเล่าเรื่องราวของสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งสร้างขึ้นเพื่อบูชาตามลัทธิความเชื่อ โดยบรรดาพระมหากษัตริย์ซึ่งปกครองนครวัดเมื่อช่วงศตวรรษที่ 9 ถึงศตวรรษที่ 14
ภาพที่เห็นอาจจะเป็นภาพที่ชินตาสำหรับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่สิ่งเหล่านี้กำลังบ่อนทำลายความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาทนครวัดอย่างเงียบๆ
“เราไม่ควรอนุญาตให้ใครเที่ยวเดินบนปราสาทหินอายุพันปีแบบนี้” เจฟฟ์ มอร์แกน ผู้อำนวยการบริหารกองทุนมรดกโลกจากสหรัฐกล่าว พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อเยี่ยมชมปราสาทเลิกกำหนดไปนานกว่าสิบปีแล้ว
ทั้งนี้ ปราสาทนครวัดที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้กำลังเผชิญหน้ากับการพังทลายอย่างรวดเร็วด้วยน้ำมือของธรรมชาติทั้งพืชพรรณที่รุกคืบเข้ามาและลมฝนจากฤดูมรสุม และด้วยน้ำมือของมนุษย์ ทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไหลทะลักเหยียบย่ำบนปราสาทไม่เว้นแต่ละวัน และจากฝุ่นควันไอเสียรถยนต์ซึ่งกร่อนหินทรายของปราสาท ขณะที่ภาพสลักหินนูนต่ำต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นกันจากมือชุ่มเหงื่อของเหล่านักท่องเที่ยว
ความลึกลับตระการตา หรือบรรยากาศของนักผจญภัยผู้ค้นพบนครสาบสูญ ที่นักท่องเที่ยวควรจะได้รับ กลับต้องหายลับด้วยเสียงอึกทึกโหวกเหวก
นครวัดในวันนี้จึงตกอยู่ท่ามกลางความทุกข์ตรม แต่สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือ จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายมหาศาลไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำร้ายอังกอร์ วัดแห่งนี้เท่านั้น
สถานที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และเมืองเสียมราฐ ที่ตั้งของมรดกโลกแห่งนี้ กำลังรายล้อมด้วยการพัฒนาแบบไร้สติ และเต็มไปด้วยการโกงกินคอร์รัปชัน ซ้ำร้ายกว่านั้นแผนการในการหาหนทางเพื่อปกปักรักษาโบราณสถานที่เก่าแก่แห่งนี้อย่างดีที่สุดยังถูกผัดผ่อนต่อไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
หลังจากที่ถูกละเลยท่ามกลางป่าหนาทึบ และโดดเดี่ยวจากไฟสงคราม สิ่งปลูกสร้างจากหินทรายเหล่านี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวในเอเชีย และเป็นแหล่งสำคัญในการหมุนเงินเข้าประเทศกัมพูชา หนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
ธงคง รัฐมนตรีการท่องเที่ยวของกัมพูชา กล่าวว่า กัมพูชาคาดว่าจำนวนผู้มาเยี่ยมชมปราสาทนครวัดแห่งนี้จะสูงถึง 6 ล้านคนต่อปีภายในปี 2563
ซึ่งคำกล่าวของรัฐมนตรีท่องเที่ยวกัมพูชาไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากสถิติการมาเยือนของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจนน่าตกตะลึง
เนื่องจากหากย้อนกลับไปในวันหนึ่งเมื่อปี 2523 ภายหลังการล่มสลายของยุคเขมรแดงเรืองอำนาจได้ไม่นาน มีผู้สื่อข่าวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินทางมาเยือนนครวัด ก่อนที่การเปิดตัวเที่ยวบินบินตรงสู่เสียมราฐในปี 2541 และการถ่ายทำภาพยนตร์ทูม ไรเดอร์ ซึ่งนำแสดงโดยดาราสาวสุดฮอต แองเจลินา โชลี ของฮอลลีวูด ที่ใช้นครวัดเป็นฉากหลังในปี 2544 จะผลักดันให้ปราสาทแห่งนี้เป็นที่รู้จักบนแผนที่ของนักเดินทางทั่วโลก
จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนนครวัดเพิ่มขึ้น 4 เท่าจาก 6 หมื่นคน ในปี 2542 เป็น 2.5 แสนคนในปี 2544 ตัวเลขดังกล่าวทำให้กัมพูชาคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2554 นี้จะอยู่ที่ 2.5 ล้านคน
จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายมหาศาลนี้คือสิ่งที่ แอนน์ เลอเมสเทรอ ผู้นำองค์การยูเนสโก องค์การด้านการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติประจำกัมพูชา เห็นว่าเป็นความท้าทายหลักของมรดกโลกอย่างนครวัด เนื่องจากนักท่องเที่ยวเหล่านั้นจะเป็นตัวเร่งให้นครวัดจำต้องเปิดพื้นที่มากขึ้น ทั้งๆ ที่พื้นที่เหล่านั้นไม่มีการเตรียมการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่น้อย
“นี่ไม่ใช่เวลานั่งพูดคุยอีกต่อไป เราจำเป็นต้องลงมือกระทำแล้ว” เลอเมสเทรอ กล่าว พร้อมชี้แจงเพิ่มเติมว่า ปราสาทนครวัดบนเนื้อที่ 400 ตารางกิโลเมตรแห่งนี้ ไม่เคยมีแผนแม่บทแน่ชัดเพื่อคุ้มครองรักษา และควบคุมดูแลเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ความหวังถึงแผนการปกป้องนครวัดดูจะไม่เลือนรางเสียทีเดียว เมื่อคณะทำงานกรอบการจัดการมรดกโลกจากออสเตรเลีย ได้ออกกฎหมายเพื่อช่วยไม่ให้ปราสาทหินงดงามต้องเลือนหายไปตามกาลเวลา
แต่กฎหมายข้างต้นก็เป็นสิ่งที่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และเป็นสิ่งที่หัวหน้าองค์การยูเนสโกประจำกัมพูชาไม่อาจรับปากได้ว่าทำสำเร็จสมความตั้งใจขององค์การที่มุ่งหวังไว้หรือไม่
“เราจะพยายามให้ดีที่สุด” เลอเมสเทรอ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
ทั้งนี้ ใช่ว่ากัมพูชาจะไม่มีกฎหมายปกป้องคุ้มครองนครวัด แต่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมากัมพูชาเลือกที่จะละเมิดกฎหมายดังกล่าว หรือปล่อยให้ล้าสมัยไป เช่น กฎกำหนดเขตการพัฒนารอบบริเวณปราสาทนครวัด (โซนนิง) ในปี 2537 เพื่อรักษาภูมิทัศน์ของตัวปราสาท ที่บรรดานายทุนและชาวบ้านต่างกระทำการเย้ยกฎหมายอย่างไม่ยี่หระ
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ หนทางเข้าสู่นครวัดที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเคยขนาบข้างด้วยต้นไม้สูงชะลูดได้ถูกแทนที่ด้วยโรงแรม 5 ดาว เบียดเสียดปนเปกับร้านค้าบ้านๆ
แน่นอนว่าการกระทำที่อุกอาจนี้ย่อมมีคนลุกขึ้นมาคัดค้าน หนึ่งในนั้นก็คือ แวน มอลลีแวนน์ สถาปนิกผู้ก่อตั้ง และอดีตหัวหน้า “อัปสรา” องค์กรอิสระในกัมพูชาเพื่อการบริหารจัดการนครวัด
แต่ทุกวันนี้ มอลลีแวนน์ ไม่ใช่หัวหน้าองค์กรอัปสราอีกต่อไป เนื่องจากทางการกัมพูชาได้ไล่ มอลลีแวนน์ ออกจากตำแหน่งฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หลังจากที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องการกำหนดบริเวณรอบนครวัด และพยายามหามาตรการขัดขวางไม่ให้สิ่งที่ มอลลีแวนน์ เรียกว่า “อังกอร์ ดิสนีย์แลนด์” เกิดขึ้น
สำหรับองค์กรอัปสรานั้นก็ยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ สกอัน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อหน้าที่ในการดูแลปราสาทนครวัด
ทั้งนี้ บริษัทแห่งหนึ่งที่ลูกชายของ สกอัน ทำงานอยู่ เคยชนะการประมูลเพื่อประดับไฟตกแต่งรอบนครวัด โชคดีว่าหลายฝ่ายได้ออกมาคัดค้าน พร้อมตำหนิอย่างรุนแรงว่าการติดตั้งไฟจะทำลายตัวปราสาทมากกว่า จึงทำให้โครงการนี้ล้มพับไป แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่เป็นแนวหน้าในการวิจารณ์โครงการครั้งนั้นต้องรับโทษจำคุกในปี 2552 ข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเท็จจนก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
นอกจากนี้ วิธีการจัดเก็บค่าเข้าชมปราสาทนครวัดก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน โดย สกกอง พ่อค้าใหญ่ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา เป็นผู้ได้รับมอบสัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาให้จัดการเก็บค่าเข้าชมอย่างง่ายดายและเงียบเชียบ โดยไม่มีแม้แต่การเปิดประมูลราคา
ทว่า การได้สัมปทานจัดเก็บยังไม่ร้ายแรงเท่ากับข้อกล่าวหาที่ สนชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคฝ่ายค้านและเพื่อนพ้อง ระบุว่า เงินค่าเข้าชมที่เก็บได้นี้ ไหลเข้ากระเป๋าของนายทุนมากกว่าคลังของรัฐ และกองทุนบูรณะนครวัด
การกระทำของ สกกอง คือสิ่งที่ มอร์แกน ผู้อำนวยการบริหารกองทุนมรดกโลกเห็นว่าเป็นการรีดไถมรดกโลกเช่นนครวัดอย่างเลือดเย็น
“ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าข้อตกลงนี้กำไรเพียงใด คุณจะได้เงินมหาศาลโดยแทบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย” ผู้อำนวยการบริหารกองทุนมรดกโลกกล่าว
แน่นอนว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เห็นว่าจะเป็นการกระทำผิดใดๆ ขณะที่รัฐมนตรีท่องเที่ยวได้แสดงความเห็นว่า การจัดเก็บดังกล่าวเป็นกลไกที่ดีที่จะทำให้ภาครัฐได้เงินจำนวนมาก
ด้านบรรดานักวิจารณ์ทั้งหลายต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้อตกลงในการบริหารจัดการนครวัดเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ภายใต้การปกครองของ ฮุนเซน ตลอดจนลิ่วล้อและบรรดาพ่อค้าใหญ่รอบตัวได้เป็นอย่างดี
“พวกเขาควบคุมทุกที่เหมือนที่ทำกับเสียมราฐและนครวัด พวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ตนเองพอใจไม่ว่ากฎหมายจะบัญญัติไว้ว่าอะไรก็ตาม” สนชัย กล่าว
นอกจากนี้ ปัญหาวิกฤตที่กำลังบ่อนทำลายนครวัดอีกปัญหาหนึ่งก็คือจำนวนประชากรในเมืองเสียมราฐที่ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากจำนวนประชากร 2.5 ล้านคนในปี 2563
สาเหตุที่ทำให้จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นที่หวั่นวิตกเนื่องมาจากการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้โดยไร้ขีดจำกัดอาจทำให้ผืนดินใต้นครวัดทรุดตัว จนตัวปราสาทอาจต้องพังทลาย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รวมถึงความวิตกกังวลที่นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลเข้ามาหลังจากการสร้างสนามบินใหม่ที่สามารถรองรับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่สิ้นสุดลง
และเมื่อมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น โรงแรมและบ้านพักที่มีเพียงแค่ 320 แห่งในปัจจุบันคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยว และไม่ต้องบอกก็รู้อีกว่า ในปีหนึ่งๆ จะต้องใช้ทรัพยากรน้ำใต้ดินของเมืองเสียมราฐมากมายมหาศาลเพียงใด
ความวิตกดังกล่าวส่งผลให้บรรดาผู้พิทักษ์นครวัดต่างพูดตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่กัมพูชาจะต้องจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวต่อวันที่จะเข้าเยี่ยมชมโบราณสถานมรดกโลกแห่งนี้อย่างจริงจังเสียที เหมือนที่พระราชวังอัลฮัมบราในสเปน และมาชูปิกชู ป้อมปราการของชาวอินคาในเปรู กระทำ หรือแม้กระทั่งการตัดทอนสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมได้
ทั้งนี้กัมพูชาได้กำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวเมื่อปีที่ผ่านมาว่า ในหนึ่งวันจะมีเพียงนักท่องเที่ยวจำนวน 100 คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าชมส่วนบนสุดของปราสาทนครวัด และอยู่ได้ไม่เกิน 30 นาที ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาก็ได้สร้างทางเดินไม้ในส่วนของตัวปราสาทภายในนครวัดที่ได้รับความนิยม
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของนครวัดก็ยังเป็นพื้นที่เปิดโล่งให้นักท่องเที่ยวเดินชมได้อย่างเสรี
ความไม่เข้มงวดกวดขันในกฎของรัฐบาลกัมพูชาทำให้ มอร์แกน เห็นว่าการบริหารจัดการการท่องเที่ยวของกัมพูชาเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก และนั่นทำให้รัฐบาลมีเวลาเพียง 20 ปีเท่านั้นในการจัดการปราสาทนครวัด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ความเห็นของ มอร์แกน ได้รับเสียงสนับสนุนจาก เลอเมสเทรอ ซึ่งมองว่าการจัดการของรัฐบาลกัมพูชากำลังทำให้ความสง่างามน่าเกรงขามของนครวัดแห่งนี้จืดจางลงไปเหลือเพียงสิ่งปลูกสร้างบนทางหลวงที่เคยรุ่งเรืองในอดีตและหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
กระนั้น แม้จะเป็นเรื่องยากและแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของนครวัดไว้ได้ แต่ท้ายที่สุดรัฐบาลกัมพูชาก็จำเป็นต้องสงวนรักษาไว้ให้คงอยู่ต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวเพื่อดูดแต่เงินเพียงอย่างเดียว
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น นั่นอาจจะเป็นฝันร้ายของกัมพูชาเอง


