posttoday

ฟื้นตักบาตรข้าวหลาม สร้างมูลค่าใหม่ วัฒนธรรม "ทวารวดีนครปฐม"

27 กันยายน 2568

โครงการฟื้นฟูประเพณีตักบาตรข้าวหลามที่วัดพระงาม นครปฐม ไม่เพียงสืบสานศรัทธาดั้งเดิม แต่ยังปลุกคุณค่าอารยธรรมเก่าแก่อย่างทวารวดี เชื่อมชุมชน เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

นครปฐมคือหนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งของไทย หากนับยุครุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวารวดีราวพุทธศตวรรษที่ 11–16 หลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมาก เช่น ธรรมจักรหิน ศิลาจารึกอักษรปัลลวะ พระประโทณเจดีย์ และองค์พระปฐมเจดีย์ บ่งชี้ว่า นครปฐมเคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนา การค้า และวัฒนธรรมที่สำคัญ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองแรกแห่งพระพุทธศาสนาในดินแดนไทย” แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับโบราณสถานและวัฒนธรรมท้องถิ่นน้อยลงไปตามลำดับ 

 

เพื่อฟื้นฟูคุณค่าที่เลือนหาย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิรัตน์ ปิ่นแก้ว แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม จึงริเริ่มดำเนินโครงการ “ทวารวดีนครปฐม: สร้างคุณค่า สร้างมูลค่า สร้างจิตสำนึกรักท้องถิ่น” โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) โครงการนี้มุ่งสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน วัด โรงเรียน และชุมชน เพื่ออนุรักษ์อารยธรรมทวารวดี ผ่านทุนวัฒนธรรมที่ยังมีชีวิตอยู่ในท้องถิ่น

 

การทำงานเริ่มต้นจากการคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพ 4 แห่ง ได้แก่ ชุมชนดอนยายหอม ชุมชนธรรมศาลา ชุมชนพระประโทนเจดีย์และไร่เกาะต้นสำโรง และชุมชนพระปฐมเจดีย์กับวัดพระงาม ทีมวิจัยเปิดเวทีให้ปราชญ์ชาวบ้านได้ถ่ายทอดเรื่องราวความเชื่อและภูมิปัญญาที่สืบทอดมา ทำให้ทุกฝ่ายเห็นภาพรวมของทุนวัฒนธรรมที่มีทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุ วิถีชีวิต และประเพณีที่ผูกพันกับผู้คน

 

ฟื้นตักบาตรข้าวหลาม สร้างมูลค่าใหม่ วัฒนธรรม "ทวารวดีนครปฐม"

 

หนึ่งในมรดกที่โดดเด่นที่สุดคือ “ประเพณีตักบาตรข้าวหลาม” ของชุมชนวัดพระงาม เดิมทีเป็นธรรมเนียมของชาวบ้านเชื้อสายลาวที่เผาข้าวหลามถวายวัดหลังฤดูเก็บเกี่ยว แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเพณีก็ค่อย ๆ เลือนหาย การฟื้นฟูครั้งใหม่เกิดจากฉันทามติของชุมชน โดยกำหนดให้ข้าวหลามที่นำใส่บาตรเป็นกระบอกสั้น ประดับด้วยดอกไม้ เพื่อสื่อถึงความงดงาม ศรัทธา และพุทธบูชา การเริ่มต้นในวันมาฆบูชา พ.ศ. 2567 แม้จะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมเพียงรายเดียว แต่กลับได้รับการตอบรับเกินคาด ทำให้การจัดงานต่อมามีผู้เข้าร่วมมากขึ้น และข้าวหลามที่ขายได้เพิ่มจากหลักร้อยจนเกิน 700 กระบอกในบางครั้ง

 

ข้าวหลามนครปฐมยังมีเอกลักษณ์เฉพาะที่เกิดจากการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ กระบอกไม้ไผ่จากอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี มีเปลือกบางและเยื่อหนา ช่วยให้ข้าวหลามหอมมัน มะพร้าวจากอำเภอทับสะแก จังหวัดชุมพร เพิ่มกลิ่นกะทิหวานมันเป็นพิเศษ และข้าวเหนียวเขี้ยวงูน้ำเงินจากเชียงราย สื่อถึงความบริสุทธิ์และความประณีตในทุกขั้นตอน ข้าวหลามจึงไม่ใช่เพียงอาหาร หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของการร่วมแรงร่วมใจและภูมิปัญญาท้องถิ่น

 

ฟื้นตักบาตรข้าวหลาม สร้างมูลค่าใหม่ วัฒนธรรม "ทวารวดีนครปฐม"

ฟื้นตักบาตรข้าวหลาม สร้างมูลค่าใหม่ วัฒนธรรม "ทวารวดีนครปฐม"

 

ผลลัพธ์ของการฟื้นฟูปรากฏชัดในหลายมิติ ด้านชุมชนทำให้คนท้องถิ่นตระหนักถึงคุณค่าของทุนวัฒนธรรมและโบราณสถาน เกิดความภาคภูมิใจและแรงจูงใจที่จะอนุรักษ์ ด้านศาสนาทำให้พระธรรมคำสอนและความศรัทธากลับมามีบทบาท ด้านเศรษฐกิจเกิดการสร้างรายได้หมุนเวียน ข้าวหลามกลายเป็นสินค้าที่เชื่อมโยงวิถีชุมชนกับการท่องเที่ยว ขณะที่สถานศึกษาได้นำเรื่องราวไปต่อยอดเป็นสื่อสร้างสรรค์ เช่น หนังสือการ์ตูน Pop-Up หรือการออกแบบลายผ้า ส่วนหน่วยงานรัฐเองก็นำแนวคิดไปสานต่อกับนโยบาย “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน เพื่อพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิรัตน์ เน้นย้ำว่า งานด้านวัฒนธรรมต้องทำด้วยความเข้าใจและจริงใจ เพราะวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายกลุ่ม หลายวัย หากสื่อสารอย่างชัดเจนและคำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน ความพยายามในการอนุรักษ์ย่อมเกิดผลสำเร็จได้อย่างแท้จริง ดังนั้น การฟื้นฟูประเพณีตักบาตรข้าวหลามจึงไม่ใช่แค่การคืนชีพให้พิธีกรรมเก่าแก่ แต่ยังเป็นการสร้างคุณค่าทางจิตใจและมูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่จะเชื่อมอดีตของอารยธรรมทวารวดีเข้ากับปัจจุบัน และทำให้นครปฐมยังคงเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีชีวิตสืบต่อไป

 

ฟื้นตักบาตรข้าวหลาม สร้างมูลค่าใหม่ วัฒนธรรม "ทวารวดีนครปฐม"

ฟื้นตักบาตรข้าวหลาม สร้างมูลค่าใหม่ วัฒนธรรม "ทวารวดีนครปฐม"

 

เกร็ดประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมทวารวดี

  1. อาณาจักรมอญ-ทวารวดี (Mon-Dvaravati Tradition) อาณาจักรทวารวดีเป็นกลุ่มรัฐเมืองของชาวมอญ (Mon) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 6 ถึง 11 (คริสต์ศตวรรษที่ 7–11) ชื่อ “Dvaravati” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “ประตูเมือง” หรือ “ดินแดนแห่งประตู” ซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องเมืองที่เปิดสู่อยู่ในเครือข่ายการค้าแลกเปลี่ยนระหว่างภายในและภายนอก

 

  1. บทบาทนครปฐมในระบอบทวารวดี
    นครปฐม (โบราณเรียกว่า “กมาลังกะ” หรือ “Kamalanka”) ถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของทวารวดี มีหลักฐานจารึกและโบราณวัตถุที่ชี้ถึงตำแหน่งสำคัญของเมืองนี้ในฐานะเมืองหลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมอินเดียเข้าสู่ภาคกลางของไทย โบราณสถานสำคัญเช่น พระปฐมเจดีย์ (Phra Pathommachedi) และ พระประโทณเจดีย์ (Phra Prathon Chedi) เป็นหนึ่งในหลักฐานของการเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของนครปฐมในช่วงทวารวดี

 

  1. ศิลปะทวารวดี “ต้นกำเนิดพุทธศิลป์ของสยาม”
    ศิลปะทวารวดีมักถูกเรียกว่าเป็นศิลปกรรม “ต้นอารยธรรมสมัยประวัติศาสตร์” ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (พุทธศตวรรษที่ 11–16) แม้หลักส่วนใหญ่มุ่งสร้างเพื่อพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท แต่ก็มีร่องรอยอิทธิพลของศาสนามหายานและศาสนาฮินดูปรากฏอยู่ด้วย ศิลปวัตถุในยุคทวารวดี เช่น หลักศิลาจารึก แผ่นจารึก แผ่นบูชา พระพุทธรูปดินเผา พระพุทธรูปสำริด ตลอดจนการปั้นปูนลายปูนปั้น (stucco) แสดงลวดลายกิเลน มกร นาคราช และลายกนก เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับอิทธิพลจากอินเดีย ในงานนิทรรศการของ The Metropolitan Museum of Art ได้กล่าวถึง “รูปแบบพระพุทธรูปแบบมอญ-ทวารวดี” (Mon-Dvaravati Buddha type) ที่เริ่มปรากฏในศตวรรษที่ 7–8 ซึ่งมีอิทธิพลต่อการหล่อและแกะสลักพระพุทธรูปในภาคกลางของไทยในยุคหลังต่อมา


ศิลปะทวารวดีไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะภาคกลางเท่านั้น แต่มีอิทธิพลขยายไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือลงใต้บางส่วน เมืองโบราณหลายแห่ง เช่น เมืองบ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี ก็เป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรมทวารวดีในภาคกลางตอนล่าง นอกจากนี้ การค้าระหว่างจีน – อินเดีย และการแลกเปลี่ยนทางทะเลช่วยส่งผ่านแนวคิดทางศาสนาและศิลปวัฒนธรรมเข้าไปยังดินแดนทวารวดี

 

อ้างอิง:

www.finearts.go.th

www.thaiscience.info

https://en.wikipedia.org/

https://www.metmuseum.org/

www.silpa-mag.com

 

 

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท