วิกฤตหรือโอกาส? เจาะลึกประเด็น "แยกลีกไทยลีก" และอนาคตฟุตบอลไทย
ประเด็นแยกลีกไทยลีกปะทุอีกครั้ง สโมสรต้องการอิสระบริหาร-รายได้ "มาดามแป้ง" รับบทกลางเจรจา แม้ยังไม่เกิด แต่อนาคตลีกไทยยังสั่นคลอนและไม่แน่นอน
ประเด็นร้อน "แยกลีกไทยลีก" ไม่ใช่แค่ข่าวลือ! เจาะลึกที่มา ความต้องการสโมสร บทบาท "มาดามแป้ง" และผลกระทบต่อบอลไทย. สรุปชัดเจนว่าเหตุใดจึงยังไม่เกิด แต่ก็ยังเป็นอนาคตที่ไม่แน่นอนของลีกฟุตบอลสูงสุดของประเทศ
แยกลีกไทยลีก: อนาคตบอลไทยในมือสโมสรและสมาคมฯ
วงการฟุตบอลไทยยังคงร้อนระอุกับกระแสข่าวการ "แยกลีก" ของสโมสรไทยลีก 1 ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความสนใจและคำถามมากมายถึงอนาคตของฟุตบอลไทย แนวคิดนี้ไม่ใช่การ "แยกลีก" โดยสมบูรณ์ แต่เป็นการเสนอให้ "แยกบริษัท" ออกมาบริหารจัดการไทยลีก 1 เอง โดยยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
ที่มาที่ไป : ความต้องการของสโมสรไทยลีก 1
จุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้มาจากการที่สโมสรในไทยลีก 1 โดยเฉพาะกลุ่ม 10 สโมสร ได้แก่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, ราชบุรี เอฟซี, สุโขทัย เอฟซี, อุทัยธานี เอฟซี, สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด, พีที ประจวบ เอฟซี, ชลบุรี เอฟซี, อยุธยา ยูไนเต็ด และ พลังกาญจน์ เอฟซี มองว่าการบริหารจัดการลีกโดยสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และบริษัท ไทยลีก จำกัด ที่ผ่านมายังขาดความชัดเจน
โดยเฉพาะเรื่องผู้สนับสนุนหลักและลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของสโมสร
แกนนำสโมสรเชื่อว่าหากพวกเขาสามารถตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาบริหารจัดการเอง จะสามารถหาเงินสนับสนุนจากสปอนเซอร์และลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดได้มากกว่าเดิม ทำให้มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน โดยมีแนวคิดแบ่งสัดส่วนหุ้น 70% ให้กับ 16 สโมสรในไทยลีก 1 (เฉลี่ยกัน) และ 30% ให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ นอกจากนี้ ยังเสนอให้บอร์ดบริหารประกอบด้วยตัวแทนสโมสร 5 คน, ตัวแทนสมาคมฯ 1 คน และ CEO อีก 1 คน โดยทีมที่ตกชั้นจะต้องขายหุ้นคืนให้กับทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมา
ใครได้ประโยชน์หากมีการแยกลีก?
หากมีการแยกลีกตามที่สโมสรเสนอ สโมสรไทยลีก 1 จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรง จากการที่สามารถบริหารจัดการรายได้ 70% ของบริษัทใหม่
ซึ่งหากทำได้ดีและหาสปอนเซอร์ได้มาก ก็จะมีเงินมาพัฒนาทีมได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการ "วัดดวง"
เพราะไม่มีการการันตีรายได้เหมือนที่สมาคมฯ เคยให้ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เองก็จะได้ประโยชน์จากการลดภาระค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนทีมและค่าโปรดักชั่นการถ่ายทอดสด โดยจะได้รับเงินส่วนแบ่ง 30% จากรายได้ทั้งหมดที่บริษัทใหม่หามาได้
ซึ่งถูกมองว่าเพียงพอสำหรับการนำไปบริหารจัดการลีกรองและฟุตบอลรากหญ้า
เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถูกกล่าวถึงว่ามีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเด็นนี้ โดยเฉพาะในประเด็นการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ของลีก โดยมีข้อมูลเชื่อมโยงกับ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) (PLANB) ซึ่งเคยเข้ามารับสิทธิ์ดูแลสิทธิประโยชน์ให้กับสมาคมฯ และบริษัท พรีเมียร์ ลีก ไทยแลนด์ ในอดีต
อนาคตฟุตบอลไทยหากมีการแยกลีก
เปิดข้อดีและข้อเสียของการแยกลีก
ข้อดี : อาจนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพในการหารายได้ให้กับไทยลีก 1 ทำให้สโมสรมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น การตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น และอาจยกระดับคุณภาพการแข่งขันเพื่อก้าวสู่ระดับเอเชีย
ข้อเสีย: ความกังวลหลักคือผลกระทบต่อ ไทยลีก 2, ไทยลีก 3 และฟุตบอลรากหญ้า หากรายได้จากลีกสูงสุดไม่ถูกนำไปกระจายอย่างเพียงพอ อาจทำให้ลีกรองและรากฐานของฟุตบอลไทยอ่อนแอลง นอกจากนี้ ยังอาจก่อให้เกิดความแตกแยกในวงการฟุตบอล ปัญหาในการประสานงานกับทีมชาติ และความท้าทายในการควบคุมมาตรฐานของลีก
"มาดามแป้ง" ชี้ขาด: แยกลีกไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น
"มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้นำเรื่องนี้เข้าหารือในการประชุมสภากรรมการเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 แม้ว่าจะไม่ได้เป็นวาระการประชุมอย่างเป็นทางการ แต่ สภากรรมการมีมติไม่เห็นชอบข้อเสนอการแยกลีก ส่งผลให้การบริหารจัดการ บริษัท ไทยลีก จำกัด ยังคงดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของสมาคมฯ เช่นเดิม
มาดามแป้งยืนยันว่าสมาคมฯ พร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นและพร้อมหารือกับทุกสโมสร แต่ในระยะสั้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารจัดการไทยลีก 1 ยังจะไม่เกิดขึ้น โดยสมาคมฯ ได้ยืนยันความชัดเจนเรื่องลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกับ AIS, GULF และ JAS รวมถึงการันตีเงินสนับสนุนให้กับสโมสรไทยลีก 1 ที่ไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาทต่อทีมในฤดูกาลหน้า
แม้ว่าข้อเสนอการแยกลีกจะถูกตีตกไปในครั้งนี้ แต่แนวคิดนี้ยังคงเป็นประเด็นที่น่าจับตา และอาจถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งในอนาคต หากสถานการณ์และความต้องการของสโมสรมีการเปลี่ยนแปลง วงการฟุตบอลไทยยังคงต้องจับมือกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาฟุตบอลไทยให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในทุกระดับชั้น
เครดิตภาพ : Thai League


