ผู้ว่าสุราษฎร์ธานีหารือทูตอิสราเอล ปมนักท่องเที่ยวทำผิดกฎหมาย
ผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี ต้อนรับเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย ย้ำพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่หากมีการกระทำผิดกฎหมายไทย ก็ต้องดำเนินการอย่างไม่เลือกปฏิบัติ
KEY
POINTS
- ผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานีและเอกอัครราชทูตอิสราเอลประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหานักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่กระทำผิดกฎหมายในพื้นที่
- ฝ่ายไทยหยิบยกประเด็นชาวต่างชาติที่แฝงตัวทำธุรกิจผิดกฎหมาย, การอยู่เกินกำหนด (overstay) และการรวมตัวประกอบศาสนกิจในพื้นที่ปิดบนเกาะพะงันที่สร้างความกังวล
- ทูตอิสราเอลยืนยันนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนดีและยินดีให้ไทยดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด พร้อมเสนอให้มีช่องทางสื่อสารโดยตรงเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน
นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้การต้อนรับ ดร. อโลนา ฟิชเชอร์ คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอล และนายเอลี่ เอลิยาฮู สเมห์ อัครราชทูต, กงสุลอิสราเอล ในโอกาสขอเข้าพบหารือถึงสถานการณ์นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย กล่าวว่า แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล กว่า 460,000 คน เดินทางมาเยือนประเทศไทย การเข้าพบครั้งนี้ เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน หลังจากทราบสถานการณ์ที่มีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลได้รับการตรวจสอบและจับตามองจากเจ้าหน้าที่รัฐของไทย ทำให้เกิดความไม่สบายใจ โดยยืนยันว่า นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่ดี ตั้งใจมาท่องเที่ยวเพราะชื่นชอบประเทศไทย จะมีเพียงส่วนน้อยที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือทำผิดกฎหมาย ซึ่งยินดีให้หน่วยงานของไทยดำเนินการตามกฎหมายเช่นเดียวกับชาวต่างชาติทุกประเทศ
ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า หน่วยงานของรัฐ ถูกตั้งคำถามมากมาย ถึงการดำเนินการกับชาวต่างชาติที่แฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวเข้ามาทำเรื่องผิดกฎหมาย ทั้งด้านความมั่นคง การอยู่อาศัยในราชอาณาจักรเกินระยะเวลาที่อนุญาต (over stay) การทำงานหรือทำธุรกิจอย่างผิดกฎหมาย และปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะพฤติกรรมการต่ออายุวีซ่าต่อเนื่องหลายครั้ง หรือระยะยาว จนต้องสงสัยว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อทำธุรกิจหรือทำกิจการบางอย่าง
จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยคณะทำงานชุดเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบและดำเนินการกับเรื่องนี้ ไม่ได้เลือกปฏิบัติ และได้กำชับเจ้าหน้าที่ ให้บังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้กระทบต่อนักท่องเที่ยวในภาพรวม
ส่วนกรณีที่ชาวบ้านในพื้นที่เกาะพะงัน ได้ร้องเรียนถึงการรวมตัวกันประกอบศาสนกิจในชาบัท หรือ คาบัท ของชาวอิสราเอล ในลักษณะพื้นที่ปิดไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปสังเกตการณ์หรือรับรู้ว่าทำกิจกรรมอะไร ส่งผลให้เกิดความไม่สบายใจของคนในพื้นที่ ตลอดจน มีความยากลำบากในการเฝ้าระวังความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ จึงขอให้สถานเอกอัครราชทูต ตรวจสอบเรื่องการจดทะเบียน ขออนุญาตจัดตั้งศาสนสถานเพื่อประกอบศาสนกิจตามกฎหมายไทย เช่นเดียวกันทุกๆศาสนา
นอกจากนี้ ยังขอให้มีช่องทางการติดต่อสื่อสารในแบบที่ไม่เป็นทางการ ระหว่างจังหวัดสุราษฎร์ธานี กับสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือแจ้งปัญหาต่างๆระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่การทำความเข้าใจและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข พร้อมยืนยันว่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี มิได้เลือกปฏิบัติกับชาวอิสราเอล และพร้อมต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่หากพบกลุ่มที่กระทำผิดกฎหมาย ก็จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตาม


