"เบน สมิธ" ตัวเชื่อมอีลิทไทย-กัมพูชา ปัดโยงทุนเทา/สแกมเมอร์
“เบน สมิธ” เบื้องหลังการถูกพาดพิงเชื่อมโยงอีลิทการเมืองไทย–กัมพูชา และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ สงครามข้อมูลข่าวสารที่รอพิสูจน์
KEY
POINTS
- เบน สมิธ ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวกลางเชื่อมโยงบุคคลสำคัญทางการเมืองระหว่างไทย (ทักษิณ ชินวัตร) และกัมพูชา (ฮุน เซน) ควบคู่ไปกับการพัวพันเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งทุนจีนสีเทาและแก๊งสแกมเมอร์
- เบน สมิธ ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่าตนเป็นเหยื่อของขบวนการใส่ร้ายป้ายสีอย่างเป็นระบบ และได้เริ่มดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
- หน่วยงานราชการของไทย เช่น ปปง. และตำรวจ ได้ตรวจสอบและให้ข้อมูลว่าไม่พบประวัติการดำเนินคดีฟอกเงินกับเบน สมิธ และยืนยันว่าเขาเป็นคนละคนกับผู้บริหารบริษัทฉ้อโกงที่ถูกกล่าวอ้างถึง
ชื่อของ "เบน สมิธ" หรือ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ไม่ใช่ในฐานะนักธุรกิจธรรมดา แต่ในฐานะบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็น "ตัวกลาง" เชื่อมโยงบุคคลระดับสูงทางการเมืองในภูมิภาคอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และสมเด็จฯ ฮุน เซน แห่งกัมพูชา และยังถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และกลุ่มทุนจีนสีเทา จนกลายเป็นประเด็นที่สังคมไทยและสื่อต่างประเทศให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง
ข้อกล่าวหาที่สั่นสะเทือนวงการการเมืองและธุรกิจ
ข้อกล่าวหาต่อเบน สมิธ ถูกหยิบยกขึ้นในรัฐสภาไทยโดย นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคประชาชนซึ่งระบุว่า มีหลักฐานเชื่อมโยงเขาเข้ากับขบวนการฟอกเงินและกลุ่มทุนสีเทาในประเทศเพื่อนบ้าน รายงานของสื่อต่างประเทศหลายแห่งยังขยายผลต่อ จนส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชื่อเสียงและธุรกิจของเขา จนส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชื่อเสียงและธุรกิจของเขา
ข้อกล่าวหาหลักสามารถสรุปได้ดังนี้:
• ตัวกลางเชื่อมโยงอำนาจ: ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทสำคัญในการประสานงานระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย และสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีรายงานอ้างถึงเหตุการณ์ เช่น การจัดหาเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Bombardier Global G7500, การจัดการประชุมระหว่างนายทักษิณกับผู้บริหารของ MGM Resorts International เพื่อหารือเรื่องกาสิโนถูกกฎหมายในไทย และการอำนวยความสะดวกในการพบปะระหว่างนายทักษิณกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม บนเรือซูเปอร์ยอชต์ "Wanderlust" ซึ่งบริหารโดยบริษัทของเขา
• เครือข่ายอาชญากรรม: มีการกล่าวหาว่าพัวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์ (แก๊งคอลเซนเตอร์) กลุ่มทุนจีนสีเทา การค้ามนุษย์ และขบวนการฟอกเงินในประเทศกัมพูชา
• ธุรกรรมต้องสงสัย: ถูกเชื่อมโยงกับธนาคาร BIC ซึ่งถูกระบุว่าเป็น "สวรรค์ของการฟอกเงิน" และกรณีการเสนอขายหุ้นของบริษัท Tiantian Ventures ที่ถูกสำนักงาน ก.ล.ต. ของไทยตรวจสอบ
• ประวัติในต่างแดน: ถูกอ้างถึงคดีฉ้อโกงหุ้นที่ประเทศนิวซีแลนด์ และมีรายงานว่ากำลังถูกจับตาโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความกังวลเรื่องการขยายอิทธิพลของจีนผ่านเครือข่ายทางการเงินของเขา
คำชี้แจงและการโต้กลับของเบน สมิธ
ภายหลังถูกพาดพิงอย่างกว้างขวาง เบน สมิธ ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง โดยระบุว่าตน ครอบครัว และธุรกิจ ตกเป็น “เหยื่อของกระบวนการใส่ร้ายป้ายสี” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อทำลายชื่อเสียงอย่างเป็นระบบ
ประเด็นสำคัญในการโต้แย้งของเขา ได้แก่
• ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา – ยืนยันว่าไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การค้ามนุษย์ หรือขบวนการสแกมเมอร์ พร้อมชี้ว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดขาดหลักฐานทางกฎหมายรองรับ
• ชี้เบื้องหลังการโจมตี – ระบุว่าการเผยแพร่ข้อมูลเท็จส่วนใหญ่มีที่มาจากนักข่าวต่างประเทศชื่อ ทอม ไรท์ (Tom Wright) ผ่านสื่อ Project Brazen และ Whale Hunting โดยมีการเผยแพร่ข้อมูลโจมตีกว่า 130 ครั้งภายในระยะเวลาอันสั้น
• ชี้แจงข้อเท็จจริงทางคดี – ยืนยันว่าคดีในนิวซีแลนด์ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นคดีอาญา อีกทั้งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท Tiantian Ventures หรือบุคคลที่อ้างว่าเป็นตน
• ดำเนินคดีทางกฎหมายตอบโต้ – ระบุว่าได้เริ่มกระบวนการฟ้องร้องนายทอม ไรท์ และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล พร้อมเรียกร้องให้องค์กรสื่อระหว่างประเทศอย่าง ICIJ และ OCCRP ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นธรรม
ขณะเดียวกัน ก็มีข้อมูลจากหน่วยงานราชการของไทยที่เปิดเผยออกมาในภายหลัง เข้ามาช่วยยืนยันบางประเด็นที่สอดคล้องกับการแถลงของ นาย เบน สมิธ ด้วย (อ่านรายละเอียด: ตร.ยัน! "เบน สมิธ" ไม่ใช่ CEO เทียนเทียน - ปปง.ไม่พบฟอกเงิน)
ไม่ใช่คนเดียวกัน: ปม CEO บริษัทฉ้อโกงคือการเข้าใจผิดครั้งใหญ่
หนึ่งในข้อกล่าวหาที่ถูกใช้ในการโจมตีเบน สมิธ คือการเชื่อมโยงเขากับบริษัท Tian Tian Ventures ที่ฉ้อโกงประชาชน แต่จากการสอบสวนของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ของไทย ได้ข้อสรุปว่า บุคคลที่ขึ้นเวทีอ้างตัวเป็น CEO ของ Tian Tian Ventures โดยใช้ชื่อว่า "เบนจามิน เบอร์เจอร์" (Benjamin Berger) แท้จริงแล้วคือ นายลอว์เรนซ์ อีวาน เฟลด์แมน (Mr.Lawrence Evan Feldman) สัญชาติอเมริกัน ซึ่งใช้ชื่อปลอมที่คล้ายกันเท่านั้น และพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับนายลอว์เรนซ์ไปแล้ว
ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการกล่าวอ้างเรื่องตัวตนที่ผิดพลาดนี้คือรากฐานของข้อกล่าวหาที่นายรังสิมันต์ โรม นำไปอภิปรายในสภาฯ
ปปง. ไทย ยืนยันไม่เคยมีคดีฟอกเงิน
แม้ภาพลักษณ์ของเบน สมิธ จะถูกผูกโยงกับข้อกล่าวหาเรื่องการฟอกเงิน แต่หลายหน่วยงานของไทยที่รับผิดชอบโดยตรงกลับไม่พบข้อมูลดังกล่าว หนังสือตอบกลับของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่ส่งถึงผู้รับมอบอำนาจของเขา ระบุว่า จากการตรวจสอบฐานข้อมูล "ไม่ปรากฏข้อมูลว่ามีการดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานฟอกเงิน หรือว่ามีการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของนายเบน สมิธ"
เบน สมิธ ในสมรภูมิสงครามข้อมูล
แม้หลายหน่วยงานจะให้ข้อมูลสอดคล้องกับคำชี้แจงของเบน สมิธ แต่ภาพลักษณ์ของเขายังคงถูกเชื่อมโยงกับประเด็นการเมืองและผลประโยชน์ขนาดใหญ่ในภูมิภาค จนทำให้ชื่อของเขากลายเป็นจุดตัดระหว่างอำนาจทางการเมือง การเงิน และสื่อ
กรณีนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า เรื่องราวของเบน สมิธ อาจไม่ใช่เพียงข้อกล่าวหาอาชญากรรมทั่วไป หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” (Information Warfare) ที่ซับซ้อนในยุคดิจิทัล ซึ่งข้อมูลจากแต่ละฝ่ายมีความขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง ระหว่างภาพของ “อาชญากรข้ามชาติ” กับ “นักธุรกิจผู้ถูกใส่ร้าย”
ท้ายที่สุด ความจริงทั้งหมดอาจต้องรอการพิสูจน์ผ่านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สังคมได้คำตอบว่า เบน สมิธ คือผู้กระทำผิด หรือเป็นเพียงเหยื่อของการโจมตีทางข้อมูลในโลกยุคใหม่กันแน่


