กต. เตรียมแจ้งกัมพูชา “ไทยจะสร้างรั้วชายแดน” ในที่ประชุม JBC
กระทรวงการต่างประเทศเผย ไทยเตรียมแจ้งกัมพูชาแผนสร้างรั้วชายแดนในที่ประชุม JBC 21–22 ต.ค. นี้ พร้อมหยิบยกปัญหาชาวกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยบ้านหนองจาน–หนองหญ้าแก้ว
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (Joint Boundary Commission : JBC) สมัยพิเศษ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21–22 ตุลาคม 2568 ที่จังหวัดจันทบุรี ว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการประชุมตามกลไกปกติของทั้งสองประเทศ แต่มี “ความสำคัญเป็นพิเศษ” เนื่องจากจะมีการหารือเพียงหนึ่งประเด็นหลัก และอีกหนึ่งเรื่องที่ฝ่ายไทยจะนำไปแจ้งเพื่อทราบเท่านั้น
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ประเด็นหลักที่จะหยิบยกขึ้นหารือในที่ประชุม คือการแก้ไขปัญหาชาวกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทยในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ซึ่งไทยจะยืนยันให้กัมพูชาดำเนินการแก้ไขโดยเร็วและป้องกันไม่ให้เกิดการล้ำเขตในอนาคต
ขณะที่อีกหนึ่งประเด็นที่ฝ่ายไทยจะนำไปแจ้งเพื่อทราบ คือ แผนการก่อสร้างรั้วชายแดนในพื้นที่ที่เป็นเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดนทั้งสองจุด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าอยู่ “สุดเขตอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย” โดยนายนิกรเดชย้ำว่า ฝ่ายไทยจะไม่เปิดการหารือในประเด็นอื่นนอกเหนือจากนี้
นายนิกรเดชกล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุม JBC สมัยพิเศษครั้งนี้มีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะจะเป็นการเตรียมการก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–21 ตุลาคมนี้ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศเข้าร่วมและร่วมลงนามในที่ประชุม
ที่ประชุม GBC จะพิจารณา 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1.การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน
2.การเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ยังตกค้าง
3.การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนร่วมกัน
4.การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
ดังนั้นเพื่อให้การประชุม GBC สามารถดำเนินการต่อเนื่องได้ ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องจัดการประชุม JBC สมัยพิเศษก่อนหน้า เพื่อให้ได้ข้อสรุปในประเด็นที่ค้างอยู่
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวทิ้งท้ายว่า “สิ่งสำคัญคือเราต้องดูความตั้งใจจริงและความจริงใจของฝ่ายกัมพูชา หากยังดำเนินการตามที่เคยกล่าวไว้ในการประชุมครั้งก่อนที่ประเทศมาเลเซีย ก็จะสามารถเดินหน้าตามวาระได้ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ไทยอาจจำเป็นต้องทบทวนท่าทีและแนวทางการดำเนินงานต่อไป”


