รัฐต้องเร่งแก้ความเชื่อมั่น อายัดบัญชีม้า ก่อนกระทบ “คนละครึ่ง”
ปัญหาการอายัดบัญชีธนาคารซึ่งเป็นผลพวงจาก "บัญชีม้า" กำลังส่งผลกระทบประชาชนจำนวนมาก และอาจกระทบถึงโครงการ "คนละครึ่ง" ที่รัฐบาลกำลังจะฟื้นมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
KEY
POINTS
- มาตรการสกัดกั้น "บัญชีม้า" ของธนาคารส่งผลกระทบแบบลูกโซ่ ทำให้บัญชีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกระงับไปด้วย สร้างความเดือดร้อนและขั้นตอนปลดอายัดที่ยุ่งยาก
- ปัญหาดังกล่าวทำให้ประชาชนและผู้ค้าขาดความเชื่อมั่นในระบบโอนเงินผ่านธนาคาร หลายรายจึงหันกลับไปใช้เงินสดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
- ความไม่เชื่อมั่นนี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงการ "คนละครึ่ง" ของรัฐบาล ซึ่งต้องพึ่งพาระบบชำระเงินดิจิทัล และอาจทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
หลังมีการยกระดับมาตรการสกัด "บัญชีม้า" โดยธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ทำการระงับธุรกรรม หรือระงับวงเงินในบัญชีที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ตาม พ.ร.ก.ไซเบอร์ (พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2568) ที่ให้อำนาจธนาคารระงับธุรกรรมและอายัดบัญชีชั่วคราวได้ทันทีหากพบเหตุอันควรสงสัย
ที่ผ่านมา มีการแชร์ข้อมูลรายชื่อบัญชีม้าดำและม้าเทาระหว่างธนาคารตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อป้องกันการโอนเงินหรือเปิดบัญชีใหม่ ทำให้บัญชีถูกระงับไปแล้ว 1.75 ล้านบัญชี ครอบคลุมคน 1.34 แสนรายชื่อ ณ สิ้นปี 2567
เกิดการระงับบัญชีในลักษณะ "ลูกโซ่" หรือ "หางว่าว" ที่ลามไปถึงบัญชีของคนบริสุทธิ์จำนวนมาก หากพบบัญชีหนึ่งมีประวัติการรับโอนเงินจากบัญชีที่ถูกแจ้งว่าเป็น "บัญชีม้า" แม้เป็นเพียงครั้งเดียวหรือจำนวนเงินไม่มาก
กระบวนการปลดอายัดบัญชีมีความล่าช้า ยุ่งยาก และซับซ้อน ทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนหมุนเวียนได้ทันที ต้องติดต่อหลายหน่วยงานทั้งธนาคารและศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ 1441
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักคือ ผู้ประกอบการร้านค้า พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ไรเดอร์ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี พนักงานบริษัท นักศึกษา/ฟรีแลนซ์ และผู้ที่ทำธุรกรรมโอนเงินในชีวิตประจำวัน
ประชาชนผู้มีบัญชีธนาคารที่บริสุทธิ์จำนวนมากกลายเป็นผู้เสียหาย เงินถูก "แช่แข็ง" โดยไม่รู้ตัว สร้างความเดือดร้อนต่อครอบครัวและธุรกิจ
ทำให้ ผู้ค้าหลายรายไม่กล้ารับการโอนเงิน และเปลี่ยนมารับเงินสดแทน จนเกิดคำถามถึงความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินของไทย บางรายถึงขั้นถอนเงินสดออกจากธนาคาร
ปัญหาดังกล่าวถือเป็นการ ซ้ำเติมรายย่อยและรากหญ้า ที่เผชิญปัญหาเศรษฐกิจอยู่แล้ว
แม้กระทรวงดีอี จะร่วมกับ ธปท. และ ปปง. ได้ตั้งวอร์รูมและสายด่วน (ศูนย์ AOC 1441 กด 2 หรือ สายด่วน ธปท. 1213) เพื่อเร่งประสานปลดล็อกบัญชี
โดยมีการยืนยันว่ากรณีที่เป็นกระแสบนโซเชียลมีเดียไม่ใช่การ "อายัดบัญชี" แต่เป็นการ "ระงับวงเงิน" ตามธุรกรรมที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือเกี่ยวข้องบัญชีม้า โดยวงเงินจะถูกล็อกไว้ แต่การอายัดบัญชีจะเกิดขึ้นเมื่อตำรวจออกหมายอายัดเท่านั้น
แต่เมื่อปัญหา "บัญชีม้า" ได้ลดทอนความมั่นใจในการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารลง ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว เพราะหากทิ้งไว้นาน นอกจากจะกระทบความเชื่อมั่นแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบไปยังโครงการที่รัฐบาลกำลังจะฟื้นคืนมา นั่นก็คือ "โครงการคนละครึ่ง"
โครงการคนละครึ่งเวอร์ชัน 2.0 มีกำหนดเริ่มเฟสแรกไม่เกินเดือนตุลาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย
ซึ่งการใช้จ่ายในโครงการนี้จะทำผ่าน แอปพลิเคชันเป๋าตัง และสแกนผ่าน แอปพลิเคชันถุงเงิน ที่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ
หากประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมผ่านธนาคาร หรือกลัวว่าบัญชีจะถูกระงับโดยไม่ตั้งใจ ก็อาจลังเลที่จะเข้าร่วมโครงการ หรือลดการใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของโครงการในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายแบบไร้เงินสด
การที่ผู้ค้าขายไม่กล้ารับการโอนเงินและเปลี่ยนไปรับเงินสดแทน ก็จะขัดขวางการทำงานของระบบแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาสำหรับโครงการคนละครึ่ง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น แบงก์ชาติ, สมาคมธนาคารไทย, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐบาล ไม่สามารถปัดภาระความรับผิดชอบนี้ได้ ทุกฝ่ายต้องทำงานเชื่อมโยงเพื่อวางมาตรการที่เข้มข้น โปร่งใส มีประสิทธิภาพ
"บัญชีม้า" จึงกลายเป็นหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องตามให้ทัน และเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา ก่อนที่ปัญหาดังกล่าวจะกลายเป็นมะเร็งร้ายเซาะกร่อนเศรษฐกิจไทยให้เลวร้ายไปมากกว่าเดิม


