ล่องสำรวจเขื่อนแม่กลอง “หัวใจความมั่นคงของน้ำ” ในภาคตะวันตก
สำรวจ "เขื่อนแม่กลอง" หัวใจลุ่มน้ำตะวันตก ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัด ส่องการบริหารจัดการน้ำ หล่อเลี้ยงเกษตร–อุปโภค–รักษานิเวศ พร้อมแผนรับมือภัยแล้งปี 2569
KEY
POINTS
- เขื่อนแม่กลองทำหน้าที่เป็นเขื่อนทดน้ำหัวใจหลักในภาคตะวันตก โดยรับน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ เพื่อส่งต่อไปยังพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 2.34 ล้านไร่ ครอบคลุม 7 จังหวัด
- มีการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบผ่านเครือข่ายคลองชลประทานทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำแม่กลอง เพื่อสนับสนุนทั้งภาคเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค และภาคอุตสาหกรรม
- กรมชลประทานได้วางแผนจัดสรรน้ำสำหรับปี 2568-2569 และเตรียมมาตรการเชิงรุก 9 ข้อ เพื่อรับมือสถานการณ์ภัยแล้งและน้ำท่วม สร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว
เดินทางสำรวจความสำคัญของ "เขื่อนแม่กลอง" โพสต์ทูเดย์ได้มีโอกาสลงพื้นที่สัญจรติดตามการบริหารจัดการน้ำ และ "แผนรับมือภัยแล้งปี 2569" ของกรมชลประทานอีกครั้งรอบนี้เป็นฝั่งตะวันตกที่จังหวัดกาญจนบุรี
ความสำคัญของ "เขื่อนแม่กลอง"
เขื่อนแม่กลองถือเป็นหัวใจหลักของพื้นที่ลุ่มน้ำตะวันตก ทำหน้าที่เป็นเขื่อนทดน้ำ โดยรับน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ (ความจุอ่าง 17,745 ล้านลูกบาศก์เมตร) และเขื่อนวชิราลงกรณ (ความจุอ่าง 8,860 ล้านลูกบาศก์เมตร) พื้นที่รับน้ำฝนเหนือเขื่อนกว่า 25,590 ตารางกิโลเมตร สามารถส่งน้ำผ่านคลองชลประทานไปยังพื้นที่เกษตรรวมกว่า 2.34 ล้านไร่ ครอบคลุม 7 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม และบางพื้นที่ของสุพรรณบุรี เพชรบุรี และสมุทรสาคร
โดยพื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญทั้งในด้านเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และวิถีชีวิตของผู้คนริมแม่น้ำ การดำรงอยู่ของเขื่อนแม่กลองจึงไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมการไหลของน้ำ แต่ยังเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผู้คนหลายล้านชีวิตในภาคตะวันตก
เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา สำนักงานชลประทานที่ 13 กรมชลประทาน นำโดยนายธนากร ตันติกุล ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่กลอง นายสัญญา สุริวรรณ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่ามะกา นายสรณคมน์ ช่างวิทยาการ ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา และนายยงยุทธ จุลานนท์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพนมทวน นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการทำงานของเขื่อนแม่กลอง รวมถึงพื้นที่ปลายคลองฟีดเดอร์ โครงการส่งน้ำฯ พนมทวน และโครงการส่งน้ำฯ ท่ามะกา เพื่อรับฟังการบริหารจัดการระบบชลประทาน การจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร และการเตรียมการรับมือสถานการณ์น้ำท่วมและภัยแล้ง
การบริหารจัดการน้ำฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำแม่กลอง
ทั้งนี้ การบริหารจัดการน้ำในฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำแม่กลองมีลักษณะแตกต่างกันออกไปเพราะลักษณะพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำ ฝั่งซ้าย ของแม่น้ำแม่กลองเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ที่ลาดเทออกเหมือนรูปพัด มุ่งลงใต้ไปจนถึงทะเล และพื้นที่ด้านตะวันออกของฝั่งนี้ติดกับแม่น้ำท่าจีน ส่วนฝั่งขวา มีลักษณะเป็น ที่ราบระหว่างทุ่งราบกับเทือกเขา ซึ่งลาดเทไปทางใต้ ช่วยให้เกิดลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย
การจัดการฝั่งซ้ายครอบคลุมพื้นที่ในนครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี และสมุทรสงคราม โดยใช้น้ำจากคลองส่งน้ำสายหลัก เช่น คลอง Lmc คลอง 1L คลอง 2L คลองจระเข้สามพัน และคลองประปา ซึ่งสามารถส่งน้ำได้มากกว่า 170 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้พื้นที่เพาะปลูกข้าว อ้อย และพืชไร่ได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนฝั่งขวาครอบคลุมพื้นที่กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และสมุทรสาคร โดยมีโครงการสำคัญคือโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่ามะกา ครอบคลุมกว่า 346,000 ไร่ และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาราชบุรีฝั่งขวา ครอบคลุมกว่า 315,813 ไร่ ทั้งสองโครงการมีระบบคลองสายใหญ่ คลองสาขา และคลองระบายน้ำที่เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ สามารถรองรับทั้งการเกษตร การอุปโภค และการระบายน้ำป้องกันอุทกภัยในเขตเมือง
เพื่อเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ภัยแล้งและน้ำหลาก สำนักงานชลประทานที่ 13 ได้จัดทำแผนจัดสรรน้ำประจำปี 2568–2569 รวมกว่า 4,000 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยแบ่งเป็นเพื่อการเกษตร 1,970 ล้านลูกบาศก์เมตร การอุปโภคบริโภค 492 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพื่อการรักษาระบบนิเวศ 1,538 ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมทั้งออกมาตรการบริหารจัดการน้ำในฤดูฝนถึง 9 มาตรการ อาทิ การคาดการณ์และแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การทบทวนเกณฑ์บริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน การเตรียมเครื่องจักรและอุปกรณ์มากกว่า 178 แห่ง การขุดลอกคลองและกำจัดวัชพืชเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ รวมถึงการตั้งศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะเพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำอย่างอำเภอโพธารามและบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ที่มักเผชิญปัญหาน้ำท่วมจากฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลาก ขณะที่ความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมและเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ก็เพิ่มแรงกดดันต่อระบบการจัดสรรน้ำในพื้นที่ต้นน้ำและปลายน้ำ ปัญหาเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ มีการมีส่วนร่วมของชุมชน และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาประกอบการตัดสินใจ ไปจนถึงการตั้งคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะขึ้นมาด้วย
FACT:
เขื่อนแม่กลองและบทบาทเชื่อมโยงเขื่อนใหญ่
เขื่อนแม่กลองตั้งอยู่ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ทำหน้าที่เป็น เขื่อนทดน้ำ (barrage) เพื่อควบคุมระดับน้ำในแม่น้ำแม่กลองก่อนส่งต่อไปยังระบบคลองชลประทานทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
น้ำที่เข้าสู่เขื่อนแม่กลองส่วนใหญ่ไหลมาจากเขื่อนหลัก 2 แห่ง ได้แก่
- เขื่อนศรีนครินทร์ ความจุ 17,745 ล้าน ลบ.ม. น้ำใช้การ 7,480 ล้าน ลบ.ม.
- เขื่อนวชิราลงกรณ ความจุ 8,860 ล้าน ลบ.ม. น้ำใช้การ 5,848 ล้าน ลบ.ม.
นอกจากนี้ยังมีเขื่อนท่าทุ่งนาและอ่างเก็บน้ำขนาดกลางในกาญจนบุรีและราชบุรีที่ช่วยเสริมการกักเก็บน้ำในพื้นที่ เช่น อ่างเก็บน้ำห้วยท่าเคย อ่างห้วยสำนักไม้เต็ง และอ่างห้วยกระพร้อย
การบริหารจัดการน้ำฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
ฝั่งซ้ายแม่กลอง
ระบบส่งน้ำฝั่งซ้ายครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัด นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี และสมุทรสงคราม โดยมีคลองสายหลัก เช่น
- คลอง Lmc
- คลอง 1L
- คลอง 2L
- คลองจระเข้สามพัน
- คลองประปา
รวมแล้วสามารถส่งน้ำได้มากกว่า 170 ลบ.ม./วินาที เพื่อเกษตรกรรมและอุปโภคบริโภค
พืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ข้าว อ้อย และพืชไร่–พืชผักที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรหลายแสนครัวเรือน โดยเฉพาะพื้นที่ริมแม่น้ำท่าจีนและลุ่มน้ำจระเข้สามพันที่ขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์
ฝั่งขวาแม่กลอง
ระบบฝั่งขวาครอบคลุมพื้นที่ กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และสมุทรสาคร โดยมี 2 โครงการชลประทานย่อยที่สำคัญคือ
1. โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่ามะกา – ครอบคลุม 6 อำเภอใน 2 จังหวัด ได้แก่ อำเภอท่าม่วง และท่ามะกา (กาญจนบุรี) รวมถึงอำเภอบ้านโป่ง โพธาราม เมืองราชบุรี และจอมบึง (ราชบุรี) พื้นที่รวมกว่า 346,000 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ชลประทาน 244,563 ไร่
- มีคลองส่งน้ำสายใหญ่ 2 สาย (คลอง 1 ขวา และคลอง 2 ขวา) รวมระยะทางกว่า 137 กม.
- ระบบคลองสาขา 24 สาย คลองแยกซอย 11 สาย และคลองระบายน้ำหลัก 8 สาย ที่เชื่อมกับแม่น้ำแม่กลอง
- พื้นที่เพาะปลูกหลัก ได้แก่ ข้าว 196,698 ไร่ อ้อย 26,629 ไร่ พืชไร่–ผัก 9,719 ไร่ ไม้ผล 8,190 ไร่
2. โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาราชบุรีฝั่งขวา – ครอบคลุม 9 อำเภอใน 3 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี เพชรบุรี และสมุทรสงคราม รวมพื้นที่กว่า 315,813 ไร่ โดยมีพื้นที่ชลประทาน 258,375 ไร่
แผนรับมือภัยแล้งและความท้าทายในอนาคต การบริหารจัดการน้ำปี 2568–2569
นายสรณคมน์ ช่างวิทยาการ ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา เปิดเผยว่า ในปี 2568 สำนักงานชลประทานที่ 13 ได้วางแผนบริหารจัดการน้ำรวมกว่า 4,000 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยแบ่งเป็น
- เพื่อการเกษตร: 1,970 ล้าน ลบ.ม.
- เพื่อการอุปโภคบริโภค: 492 ล้าน ลบ.ม.
- เพื่อรักษาระบบนิเวศ: 1,538 ล้าน ลบ.ม.
พร้อมกันนี้ยังได้เตรียม เครื่องจักร อุปกรณ์ และบุคลากร ให้พร้อมปฏิบัติการในทุกสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมฉับพลันหรือน้ำหลากจากฝนตกหนัก
สำหรับฤดูแล้งปี 2569 คาดว่าจะมีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับทุกกิจกรรมสำคัญ แต่กรมชลประทานยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ ใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถกระจายน้ำไปถึงทุกภาคส่วนตลอดทั้งปี
การขยายโอกาสสู่พื้นที่นอกเขตชลประทาน
หนึ่งในภารกิจที่สะท้อนถึงความใส่ใจในคุณภาพชีวิตประชาชน คือ การขยายระบบชลประทานไปยังพื้นที่ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำนอกเขตชลประทาน เช่น หมู่ที่ 8 ตำบลเขาขลุง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเดิมทีไม่มีแหล่งเก็บกักน้ำเพียงพอ และตั้งอยู่ในพื้นที่สูงกว่าระดับคลองส่งน้ำ
เพื่อแก้ปัญหานี้ โครงการชลประทานราชบุรีได้ก่อสร้าง สถานีสูบน้ำไฟฟ้าบ้านห้วยดอกไม้ พร้อมระบบส่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและเกษตรกรรม โดยโครงการดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์แล้ว และสามารถส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่เกษตรได้กว่า 3,161 ไร่ ครอบคลุมครัวเรือนกว่า 365 ครอบครัว ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนในเชิงรูปธรรม
การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำตะวันตกไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขปริมาณน้ำที่ถูกจัดสรร แต่ยังเกี่ยวพันกับการสร้างสมดุลระหว่างเกษตรกรรม เศรษฐกิจชุมชน ระบบนิเวศ และความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ
บทบาทของเขื่อนแม่กลองจึงไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรม หากแต่เป็นเสมือน “เส้นเลือดใหญ่” ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนนับล้าน
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น การบริหารจัดการน้ำอย่างมีระบบ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการพัฒนาโครงสร้างน้ำที่ยืดหยุ่นต่อวิกฤติ เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ เขื่อนแม่กลอง ยังคงเป็นหัวใจของความยั่งยืนในลุ่มน้ำตะวันตกต่อไป


