กต.แจงทูต ฟ้องกัมพูชาดำเนินการยั่วยุ โจมตีพลเรือนไม่เลือกเป้า
กต.แถลงผลการเชิญทูตรับฟังปัญหาชายแดน ยันไทยยึดมั่นในสันติภาพ เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ แต่"กัมพูชา"ไม่ตอบสนอง กลับยั่วยุ-โจมตีไม่เลือกเป้าหมาย
KEY
POINTS
- กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงต่อคณะทูตว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายยั่วยุและเปิดฉากโจมตีไทยก่อนหลายครั้ง
- ฝ่ายไทยมีหลักฐานว่ากัมพูชาโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างไม่เลือกเป้าหมาย เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน และปั๊มน้ำมัน ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
- การตอบโต้ของไทยเป็นการป้องกันตนเองโดยชอบธรรมตามกฎบัตรสหประชาชาติ โดยมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเท่านั้น
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ พร้อมด้วยนายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ น.ส.พินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ บรรยายสรุปแก่คณะทูตต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้เข้ารับฟังการบรรยายสรุป ประกอบด้วย เอกอัครราชทูตและผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศ รวมถึงผู้แทนองค์การระหว่างประเทศที่ประจำประเทศไทย จำนวน 121 คน จาก 74 ประเทศ รวมถึงจาก 1 องค์กร และ 16 องค์การระหว่างประเทศ
จากนั้น นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวว่า สิ่งที่รมว.ต่างประเทศ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ บรรยายสรุปแก่คณะทูตต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกัมพูชาเปิดฉากโจมตีวันแรกเมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 และการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในการประชุมสมัยพิเศษที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 แต่หลังจากนั้นเรายังพบการละเมิดข้อตกลงของฝ่ายกัมพูชาหลายครั้งในพื้นที่ของไทย ขณะเดียวกันกัมพูชายังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาอีกหลายฉบับมีทั้งหมด 9 ประเด็น
1. ประเทศไทยมีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ยึดมั่นในสันติภาพ กฎหมายระหว่างประเทศ หลักการสากลต่างๆ และมุ่งมั่นพัฒนาความสัมพันธ์กับกัมพูชาใฐานะเพื่อนบ้านที่ดี แต่ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 กัมพูชายั่วยุไทยหลายครั้ง เป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีไทยและละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศหลายกรณี
2. ฝ่ายไทยมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นโจมตีก่อนและโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ส่งผลให้สถานที่พลเรือน เช่น ปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ โรงพยาบาล โรงเรียน ได้รับความเสียหาย อีกทั้งยังทำให้พลเรือนรวมถึงเด็กต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ ชาวบ้านอีกนับแสนคนต้องอพยพไปอยู่ในสถานที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คณะทูต ผู้ช่วยทูตทหาร ที่ได้ลงพื้นที่ในวันที่ 1 ส.ค. รวมถึงสื่อมวลชนได้เห็นด้วยตาตัวอง
3. การตอบโต้จากฝ่ายไทยทุกครั้งเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนเองโดยชอบธรรม ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนและความปลอดภัยของประชาชน อย่างได้สัดส่วน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และที่สำคัญได้มุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารกัมพูชาเท่านั้น จึงไม่ถือเป็นการรุกราน
4. การโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาต่อพลเรือนและพื้นที่สาธารณะ ถือเป็นการรุกรานอย่างชัดเจนและเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 4 นอกจากนี้การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของฝ่ายกัมพูชาถือเป็นการละเมิดสัญญาออตตาวา ซึ่งไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด
5. ไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชาที่ไม่มีหลักฐานรองรับในทุกเวทีและในทุกประเด็น อาทิ ข้อกล่าวหาว่าไทยรุกรานและสร้างความเสียหายต่อปราสาทพระวิหาร รวมถึงข้อกล่าวเกี่ยวกับการคุกคามแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย ซึ่งไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงถึงองค์การแรงงานระหว่างประเทศ และยูเนสโกแล้ว
6. ประเทศไทยชื่นชมบทบาทของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนที่อำนวยความสะดวกให้เกิดการประชุมสมัยพิเศษและนำมาสู่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมขอบคุณสหรัฐอเมริกาและจีนที่มีบทบาทสนับสนุนให้การหยุดยิงเกิดขึ้น แต่เป็นที่น่าผิดหวังที่ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้งในหลายพื้นที่ จึงขอเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด
7. ฝ่ายไทยยังมุ่งมั่นแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ผ่านกลไกทวิภาคีที่ดีอยู่ โดยไทยตั้งใจเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ 4-7 ส.ค.นี้ ด้วยความจริงใจ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการวางกลไกเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว
8. นอกจากการประชุม GBC กลไกทวิภาคีที่จะมีต่อไปคือ JBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในเดือน ก.ย.นี้ โดยหวังว่ากัมพูชาจะเข้าร่วมด้วยความจริงใจ เพื่อหาทางออกร่วมกันในเรื่องเขตแดน
9. ฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการฟื้นฟูความไว้ใจซึ่งกัน และทำให้ความขัดแย้งขยายตัวไปสู่ระดับประชาชนทั้ง 2 ประเทศ บั่นทอนความพยายามในการทำให้ความสัมพันธ์กลับสู่สภาวะปกติ
ส่วนกรณีมีการเผยแพร่คลิปในสื่อสัมคมออนไลน์ เกี่ยวกับร่างของทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตบริเวณแนวชายแดนและไม่ได้ถูกเก็บกลับไป นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ระบุว่า การปฏิบัติดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่มีประเทศไหนปล่อยร่างผู้เสียชีวิตที่ออกมาสู้รบให้นอนอยู่บนดินแบบนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องรอหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ พร้อมย้ำว่าฝ่ายไทยจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่เป็นการกล่าวหา
ส่วนกรณีที่กัมพูชาโจมตีสถานที่พลเรือนของไทย รวมถึงสถานพยาบาลจนได้รับความเสียหาย มีข้อกฎหมายระหว่างประเทศที่กำกับว่าผู้กระทำผิดจะต้องชดใช้ ซึ่ง กต.อยู่ระหว่างดำเนินการแบบคู่ขนานว่าเพื่อดูว่าสิ่งที่ไทยจะต้องเรียกร้องจากฝ่ายกัมพูชามีอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่ค่าเสียหาย แต่มีมากกว่านั้น ซึ่งอยู่ในแผนของ กต.ที่ต้องทำ


