อัยการสูงสุดสั่งเข้มคดีเมาแล้วขับ เพิ่มข้อหาหนัก-ริบรถทันที
อัยการสูงสุดออกแนวทางใหม่ให้เพิ่มข้อหาผู้เมาแล้วขับหากเข้าข่ายประมาทร้ายแรง พร้อมสั่งฟ้องขอศาลริบรถของกลางทันทีเพื่อป้องกันเหตุซ้ำ
สำนักงานอัยการสูงสุดออกหนังสือเวียนถึงอัยการทั่วประเทศ กำหนดแนวทางปฏิบัติกรณีดำเนินคดีกับผู้ขับรถในขณะเมาสุราแล้วก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยให้พนักงานอัยการพิจารณาดำเนินคดีเพิ่มเติมในความผิดฐาน “ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น” ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (8)
หนังสือดังกล่าวลงนามโดยนายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทน ระบุว่า ปัจจุบันอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการเมาแล้วขับยังคงสร้างความสูญเสียอย่างร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การดำเนินคดีจึงควรเข้มงวดมากขึ้นและครอบคลุมข้อหาตามกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรง
นอกจากนี้ ยังให้แนวทางว่า หากพฤติการณ์ของผู้ต้องหาบ่งชี้ว่าขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น แต่ยังไม่มีการแจ้งข้อหานี้ ให้พนักงานอัยการสั่งการให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมทันที พร้อมทั้งให้ร้องต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งริบรถของกลางในคดีด้วย
ให้พนักงานอัยการพิจารณา ว่าพฤติการณ์ของผู้ต้องหามีลักษณะเข้าข่ายความผิดฐาน "ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น" ตามมาตรา 43 (8) ของ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ หรือไม่หากเห็นว่าเข้าข่ายความผิดดังกล่าว และยังไม่มีการแจ้งข้อหานี้แก่ผู้ต้องหา ให้พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม
ในการยื่นฟ้องต่อศาล ให้พนักงานอัยการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถของกลาง ตามแนวทางที่กำหนดไว้ในหนังสืออ้างถึงข้างต้น
แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับสถานการณ์บนถนนไทยที่ยังเผชิญปัญหาเมาแล้วขับต่อเนื่อง โดยสำนักงานอัยการสูงสุดย้ำว่า ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนอย่างจริงจัง
สรุปสถานการณ์และสถิติ "เมาแล้วขับ" ในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นปี 2568 (1 มกราคม 2568) จนถึงปัจจุบัน:
กฎหมายและบทลงโทษ (อัปเดตปี 2568)
ผู้ขับขี่ที่มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดตั้งแต่ 0.05% ขึ้นไป (ในผู้ที่อายุ 20 ปีขึ้นไป) ถือว่ากระทำผิดฐานเมาแล้วขับ
- โทษ: จำคุกไม่เกิน 1 ปี และ/หรือ ปรับ 5,000–20,000 บาท
- พักใช้ใบขับขี่อย่างน้อย 6 เดือน หรืออาจถูกเพิกถอน
- หากปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ จะถือว่ามีความผิดเทียบเท่าการเมาแล้วขับ
- หากก่อให้เกิดความเสียหาย บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต โทษจะเพิ่มขึ้นตามระดับความรุนแรง
สถิติและคดีเด่นช่วงเทศกาล
ปีใหม่ 2568 (27 ธ.ค. 2567 – 5 ม.ค. 2568)
พบผู้กระทำผิดเมาแล้วขับรวมกว่า 4,020 ราย ภายใน 5 วันแรก (เฉพาะคดีขับขณะเมาสุรา 3,884 คดี)
ช่วง 10 วันอันตราย มีอุบัติเหตุรวม 872 ครั้ง บาดเจ็บ 841 ราย เสียชีวิต 143 ราย
สาเหตุหลักของอุบัติเหตุ ได้แก่ การเมาแล้วขับและขับรถเร็วเกินกำหนด
สงกรานต์ 2568 (11–13 เม.ย.)
เมาแล้วขับยังคงเป็นปัจจัยหลักร่วมกับการขับรถเร็ว
ภายใน 2 วันแรกของเทศกาล มีผู้เสียชีวิต 59 ราย และบาดเจ็บ 458 ราย
เปรียบเทียบย้อนหลัง: สัปดาห์สงกรานต์ ปี 2567 มีผู้เสียชีวิตรวม 287 ราย และในปี 2566 มี 264 ราย
ด้าน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี (สคช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเตือนผู้ขับขี่ว่า “เมาแล้วขับ ระวังจะโดนฟ้อง ศาลสั่งริบรถ กันด้วยนะครับ”
โดยระบุว่า จากสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนที่เกิดจากการขับรถในขณะเมาสุรา ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุดจึงมีหนังสือเวียนกำหนดแนวทางการดำเนินคดีให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
ในกรณีที่อัยการได้รับสำนวนคดีเมาแล้วขับ ให้พิจารณาว่าพฤติการณ์เข้าข่าย “ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น” ตามมาตรา 43 (8) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบกหรือไม่
หากพบว่าเข้าข่าย และยังไม่มีการแจ้งข้อหาดังกล่าวมาก่อน ให้พนักงานอัยการสั่งสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมเสนอให้ศาลพิจารณาริบรถของกลางในชั้นฟ้องคดีด้วย.