posttoday

เงินบุญ หรือ เงินบาป ? เจาะช่องโหว่ศาสนากับการฟอกเงินยุคใหม่

17 พฤษภาคม 2568

เมื่อศรัทธาแปรเปลี่ยนเป็นช่องทางทุจริต เงินทำบุญอาจเป็นเครื่องมือฟอกเงิน ช่องโหว่การกำกับกิจกรรมศาสนา กำลังเปิดประตูสู่ความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่สังคมต้องตื่นรู้!

KEY

POINTS

  • เมื่อศรัทธาถูกแปรเปลี่ยนเป็นช่องทางทุจริต เงินทำบุญจึงอาจกลายเป็นเครื่องมือฟอกเงิน
  • ช่องโหว่การกำกับกิจกรรมศาสนา กำลังเปิดประตูสู่ความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่สังคมต้องตื่นรู้!

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่บทความหัวข้อ ‘วัดกับความเสี่ยงที่จะถูกใช้เพื่อฟอกเงิน’ โดย นางสาวธารทิพย์ ศรีสุวรรณเกศ นักวิจัยอาวุโส TDRI ทีมวิจัยนโยบายการกำกับดูแลที่ดี ระบุว่า "วัด" เป็นสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนให้ความสําคัญเพราะเป็นแหล่งรวมความศรัทธาและการทําบุญ พุทธศาสนิกชนส่วนมากจึงเต็มใจบริจาคเงินเพื่อการทําบุญร่วมกิจกรรมต่างๆ ของวัด

แม้ว่าวัดจะไม่ได้มีกิจกรรมหลักในการระดมเงินและใช้เงินเพื่อวัตถุประสงค์ในการกุศลและการศาสนาก็ตาม ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลบางกลุ่มมักใช้ความศรัทธาจากการบริจาคทําบุญเหล่านี้เป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์ ส่งผลให้วัดมีความเสี่ยงที่จะถูกใช้บังหน้าเพื่อการกระทําความผิดได้ 

ดังเห็นได้จากคดีที่ผ่านมา ทั้ง คดีหลวงปู่เณรคํา ที่ใช้วัดบังหน้าเพื่อระดมเงินทําบุญตามความ ศรัทธา โดยขอรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินจากประชาชนเพื่อก่อสร้างพระแก้วมรกตจําลอง และขอรับ บริจาคเงินเพื่อสมทบทุนการก่อสร้างโรงพยาบาลร้อยเอ็ด แต่กลับนําเงินที่รับบริจาคดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตน เช่น การซื้อที่ดิน การก่อสร้างบ้านพัก การซื้อรถยนต์ ราคาแพง การใช้จ่ายที่เป็นความฟุ้งเฟ้อ เป็นต้น

คดีหลวงปู่เณรคำ

นอกจากนี้ในช่วงปี 2561 ยังพบคดีที่สะเทือน วงการพระพุทธศาสนา นั่นคือ คดี “เงินทอนวัด” หรือคดีการทุจริตเงินอุดหนุนวัดของเจ้าหน้าที่สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(สํานักงาน พศ.)โดยเจ้าหน้าที่สํานักงาน พศ.จะเข้าไปติดต่อเจ้าอาวาส วัดในแต่ละจังหวัดเพื่อเสนอเงินอุดหนุนให้แก่วัด

แต่วัดจะต้องเขียนโครงการเข้ามาเพื่อเสนอของบประมาณกับสํานักงาน พศ. เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการ เมื่อวัดได้รับอนุมัติเงินอุดหนุนดังกล่าวแล้วจะต้องทําการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ และนําส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ สํานักงาน พศ. ที่ไปติดต่อเพื่อเป็นค่าสินบน ซึ่งจากคดีเงินทอนวัดดังกล่าวเป็นการทุจริตเงินอุดหนุนวัดตั้งแต่ปี 2557-2561 พบมูลค่าความเสียหายสูงถึง 270 ล้านบาท 

แม้ว่าจะมีการดําเนินการกวาดล้างคดีการทุจริตเงินทอนวัดไปแล้ว หากแต่สถานการณ์การใช้วัดเป็น เครื่องมือในการกระทําความผิดอาจมีความเป็นไปได้ที่
จะเกิดขึ้นอีกและมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นด้วยหากการกํากับดูแลการเงินของวัดมีช่องโหว่ซึ่งจะเป็นจุดเปราะบางสําคัญที่ทําให้มิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางในการใช้วัดเป็นเครื่องมือเพื่อกระทําความผิดได้

ความเสี่ยงที่วัดอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทําความผิด

วัดมีความเสี่ยงที่จะถูกนําไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทําความผิดได้ง่าย เนื่องจากประการแรก ประเทศไทยมีวัดเป็นจํานวนมากและกระจายไปอยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จากข้อมูลวัดที่ขึ้นทะเบียนกับสํานักงาน พศ. ปี 2562 พบว่ามีมากถึง 41,310 แห่งทั่วประเทศ

และยิ่งมีวัดจํานวนมากเท่าไร ความเสี่ยงที่วัดจะถูกใช้เป็นเครื่องมือของการกระทําความผิดหรือการฟอกเงิน ที่ได้จากการกระทําผิดก็ย่อมมีมากตามไปด้วยหากการกํากับดูแลไม่ทั่วถึง

ประการที่สอง วัดทุกแห่งที่ขึ้นทะเบียนกับ สํานักงาน พศ. จะได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐในการดําเนินกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา โดยเงินอุดหนุน

วัดจะมีวัตถุประสงค์เพื่อกิจกรรมทางศาสนา 3 ประเภท ได้แก่ 1) เพื่อการบูรณะซ่อมแซมหรือบูรณปฏิสังขรณ์ วัด 2) เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุและ สามเณร และ 3) เพื่อการเผยแผ่ดําเนินกิจกรรมทาง ศาสนา โดยวัดแต่ละแห่งที่ต้องการเงินอุดหนุนในแต่ละ กิจกรรมจะต้องเขียนโครงการเพื่อเสนอขอรับเงินอุดหนุน ไปยังสํานักงาน พศ. เพื่อพิจารณาอนุมัติ

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลของสํานักงบประมาณ ตั้งแต่ปี 2556-2562 พบว่า เงินงบประมาณที่ใช้จ่ายเป็นเงินอุดหนุนวัดทั่วประเทศเฉลี่ยมากกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ในปี 2559-2560 มีงบประมาณใช้ จ่ายเป็นเงินอุดหนุนวัดสูงกว่า 4,500 ล้านบาท

เงินอุดหนุนดังกล่าวมีมูลค่าต่อปีค่อนข้างสูงจึงอาจเป็นจุดเปราะบางสําคัญที่ทําให้เจ้าหน้าที่สํานักงาน พศ. ซึ่งเป็นผู้มีอํานาจในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณดังกล่าวใช้เป็นช่องทางสําคัญในการทุจริตคอร์รัปชันและใช้วัดเป็นช่องทางในการรับโอนเงินดังกล่าวได้ จึงเป็น ที่มาของคดี “เงินทอนวัด” ในช่วงปี 2559-2560 ที่ผ่านมา 

ประการสุดท้าย นอกจากเงินอุดหนุนวัดจากภาครัฐแล้ว วัดยังมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินสดจํานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการให้เช่าวัตถุมงคล การให้เช่าที่ดินธรณีสงฆ์ และเงินบริจาคจาก

เงินบุญ หรือ เงินบาป ? เจาะช่องโหว่ศาสนากับการฟอกเงินยุคใหม่

ผลการศึกษาเกี่ยวกับการบริหารจัดการการ เงินของวัดในประเทศไทยของ "ผศ.ดร.ณดา จันทร์สม" ที่ทําการสํารวจวัดจํานวน 490 แห่งทั่วประเทศในปี 2555 พบว่า รายรับรวมโดยเฉลี่ยของวัดอยู่ที่ประมาณล้านบาทต่อปี โดยมากเป็นเงินบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน เช่น งานซ่อมแซมโบสถ์ หรือศาสนสถานอื่นๆ 3.24 ล้านบาทต่อปี โดยมากเป็นเงินบริจาคเพื่องานซ่อมแซมโบสถ์หรือศาสนสถานอื่นๆ เฉลี่ยเท่ากับ 2.02 ล้านบาทต่อปี

รองลงมาคือรายรับจากการสร้างเครื่องบูชาเฉลี่ย 1.46 ล้านบาทต่อปี และเงิน บริจาคในโอกาสพิเศษ เช่น ทอดกฐิน ผ้าป่า งานบวช ฯลฯ เฉลี่ยเท่ากับ 1.05 ล้านบาทต่อปี 

ขณะที่การกํากับดูแลวัดอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กิจการของคณะสงฆ์มีความเป็นเอกภาพ และกําหนด ให้การปกครองวัดแต่ละแห่งมีเจ้าอาวาสเป็นผู้จัดการดูแลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

นอกจากนี้ กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2511) ออกตามความใน พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 กําหนด ให้กรมการศาสนากําาหนดแบบทะเบียน บัญชี แบบสัญญา และแบบพิมพ์อื่นๆ และให้คําแนะนําการปฏิบัติแก่วัด เกี่ยวกับการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด โดยวัดจะต้องมีการจัดทําบัญชีทุก ๆ ปีปฏิทินเก็บรักษาไว้ที่วัด และต้องมีการจัดทํารายงานบัญชีรายรับรายจ่าย ของวัดนําส่งให้สํานักงาน พศ. จังหวัดในทุก 1 เดือน

ทว่าจากการสัมภาษณ์ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สํานักงาน พศ.ชี้ว่าในทางปฏิบัติแล้วการจัดทําบัญชี รายรับรายจ่ายของวัดเป็นเพียงบัญชีบันทึกการรับจ่าย แบบง่ายๆ ไม่ได้มีความซับซ้อนหรือเป็นไปตามมาตรฐานทางบัญชี

และอีกหนึ่งปัญหาสําคัญของการบริหารจัดการการเงินของวัด คือ เจ้าอาวาสเป็นพระที่ค่อนข้างมีอายุแล้ว และไม่ได้มีความรู้ในการจัดทําบัญชีมากพอ โดยส่วนมากแล้วเจ้าอาวาสจะมอบอํานาจให้คณะกรรมการวัดหรือไวยาวัจกรเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดทําบัญชีวัด รวมถึงการเบิกจ่ายเงินบัญชีของวัด ดังนั้นคดีเงินทอน วัดที่เกิดขึ้น และเมื่อมีการตรวจสอบหลายคดี พบว่า เจ้า อาวาสวัดหลายแห่งก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทําความ ผิดดังกล่าว หากแต่ไว้ใจให้ผู้อื่นดําเนินการทางการ เงินแทนจึงเป็นเหตุให้เกิดการใช้วัดเป็นช่องทางในการทําความผิดได้

รายรับของวัดต่อปี

ขณะเดียวกันการกํากับดูแลการเปิดเผยข้อมูล เกี่ยวกับบัญชีรับ-จ่ายของวัดก็ยังไม่ได้ระบุชัดเจน หากวิเคราะห์จากแนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) กําาหนดไว้เพียงให้มีการจัดทําบัญชีวัด 2 เล่ม ได้แก่ สมุดเงินสด และบัญชีแยกประเภท เมื่อจัดทําบัญชีทั้ง 2 เล่มแล้ว ให้วัดเก็บรักษาไว้ที่วัด เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบในการขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ขอเป็นวัดพัฒนา

และเมื่อมีชาวบ้านร้องเรียนเท่านั้น ไม่ได้ก้าหนดให้มีการประกาศเผยแพร่ตามป้ายต่างๆในบริเวณวัดให้สาธารณชนได้รับทราบ แม้ว่าจะกําหนดให้วัดนําตัวเลขรายละเอียดของรายรับแต่ละประเภท/รายจ่ายแต่ละประเภทในแต่ละเดือน จัดทํารายงานบัญชี รายรับรายจ่ายของวัด เพื่อส่งสํานักงาน พศ. จังหวัดในทุก 1 เดือนก็ตาม แต่ก็มิได้มีการเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบเกี่ยวกับยอดเงินบริจาคในแต่ละเดือน และค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปซึ่งอาจทําให้เป็นจุดเสี่ยงสําคัญที่วัดจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทําความผิดได้

จากรายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านกีฬา ศิลปะ วัฒนธรรม การศาสนา คุณธรรม และจริยธรรม เรื่อง “การพัฒนาระบบการ บริหารทรัพย์สินของวัดให้เป็นไปตามมาตรฐาน” พบว่า สํานักงาน พศ. ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้มีการกําหนดตัวชี้วัดโดยให้ทุก วัดจัดทําบัญชีรับ-จ่ายของวัด พร้อมทั้งกําหนดเป้าหมาย ในการจัดส่งบัญชีรับ-จ่ายให้สํานักงาน พศ. จากผลการดำเนินงานดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ในช่วงปี 2556 - 2558 มีจํานวนวัดที่ส่งรายงานทางการเงินไม่ถึง 20,000 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 50 ของจํานวนวัดที่ขึ้นทะเบียนทั่วประเทศ

อย่างไรก็ดี แม้การปกครองวัดและการบริหารจัดการการเงินและการจัดทําบัญชีวัดจะเป็นหน้าที่ของ เจ้าอาวาสวัดก็ตาม แต่ทว่าเจ้าอาวาสซึ่งอาจไม่มีความรู้และประสบการณ์ในการจัดทําบัญชีการเงิน กอปรกับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจถูกใช้เป็นช่องทางของผู้แสวงหาผลประโยชน์เพื่อกระทําผิดได้เช่นกรณีคดีเงินทอนวัดที่มีการตรวจสอบหลายคดี และพบว่าเจ้าอาวาสหลายวัดก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทําความผิดดังกล่าว

การกํากับดูแลองค์กรศาสนาของต่างประเทศ

ประเทศเยอรมนี ถือว่าคริสตจักรเป็นบริษัท (corporations) ภายใต้กฎหมายมหาชน (public law) โดยกฎหมายฉบับนี้เปิดให้เก็บภาษีคริสตจักร (church tax) เพื่อนําเงินมาอุดหนุนคริสตจักรในรูปแบบ ของกองทุน (state fund) ขณะที่องค์กรศาสนาอื่นๆ ไม่ได้มีข้อกําหนดให้ต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานภาครัฐ แต่หากองค์กรศาสนาใดต้องการได้รับสิทธิการยกเว้น ภาษี (tax exempt status)

รวมถึงขอเงินอุดหนุนจากภาครัฐ (church tax) จะต้องจดทะเบียนเป็นองค์กรไม่แสวงหากําไร (nonprofit associations) กับสํานักงานสรรพากรของแต่ละรัฐ (State level authorities) ซึ่งจะเป็นผู้ตรวจสอบติดตามองค์กรทางศาสนาที่ได้รับยกเว้นต้านภาษี

โดยองค์กรที่จดทะเบียนเป็นองค์กรไม่แสวงหา กําไรจะต้องรายงานทางการเงินโดยการจัดทําบัญชีโดยผู้ตรวจบัญชีที่เป็นบุคคลที่สามต่อผู้กํากับดูแลประจํารัฐ (the regional tax authorities) นอกจากนี้ องค์กรทาง ศาสนาที่จดทะเบียนขึ้นเป็นองค์กรไม่แสวงหากําไรจะต้องเปิดเผยข้อมูลผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการดําเนินการของมูลนิธิ (beneficial owner) โดยเฉพาะกรรมการ ขององค์กรที่มีอานาจในการบริหารจัดการองค์กรฯ (foundation's board members) ทั้งนี้การเปิดเผยข้อมูล ดังกล่าวมีเป้าประสงค์เพื่อการตรวจสอบอาชญากรรมการฟอกเงินและการก่อการร้ายโดยเฉพาะ

จำนวนวัดที่มีการจัดส่งรายงานการเงิน

ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีกฎหมายว่าด้วยการ กํากับดูแลศาสนจักรแยกออกจากการกํากับดูแลของรัฐอย่างชัดเจน (French Law on the Separation of the Churches and State 1905) ขณะที่องค์กรทาง ศาสนาอื่นๆ ไม่จําเป็นต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานรัฐ เช่นเดียวกับที่เยอรมนี แต่องค์กรศาสนาใดที่ต้องการได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี หรือศาสนจักรที่ต้องการได้รับเงินอุดหนุนจากภาษี (church tax) จะต้องดําเนินการจด ทะเบียนเป็นองค์กร โดยอาจจดทะเบียนเป็นสมาคมด้านศาสนา (associations of worship) ซึ่งเป็นองค์กรที่ดําเนิน กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนา (religious activities) และ ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (exempt from taxes) โดยจะ อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของแต่ละรัฐ หรือองค์กรศาสนา อาจจะจดทะเบียนเป็นสมาคมด้านวัฒนธรรม (culturalassociations) ซึ่งสามารถดําเนินกิจกรรมที่แสวงหาผลกําไรหรือไม่แสวงหาผลกําไรก็ได้ โดยองค์กรรูปแบบนี้ สามารถขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ (government subsidy) สําหรับกิจกรรมสาธารณกุศล เช่น กิจกรรมด้าน การส่งเสริมวัฒนธรรมและกิจกรรมด้านการให้การศึกษาแต่จะไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี

นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้มีการออกแบบระบบแพลตฟอร์มการลงทะเบียนเพื่อตรวจสอบและติดตามองค์กรจดทะเบียน ประเภทสมาคมผ่านระบบการรายงานออนไลน์ หรือ National Directory of Associations (Répertoirenational des associations (RNA)) เพื่อรวบรวมข้อมูล และสนับสนุนการตรวจสอบติดตามของหน่วยงานกํากับ ดูแลเพื่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางการ เงิน และการก่อการร้ายของสมาคมที่จดทะเบียน 

ขณะที่ ประเทศอิตาลี ให้สิทธิเสรีภาพแก่ทุกศาสนาในการจัดตั้งสถาบันทางศาสนา โดยที่องค์กรทางศาสนาสามารถดำเนินกิจกรรมทางศาสนาได้อย่างอิสระ และไม่จําเป็นต้องขึ้นทะเบียนเช่นเดียวกับเยอรมนีและฝรั่งเศส แต่หากองค์กรทางศาสนาใดที่ต้องการได้รับสิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐจะต้องขึ้นทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษกับกรมสรรพากรแห่งสาธารณรัฐอิตาลี

รวมทั้งขึ้นทะเบียนสร้างข้อตกลงเป็นองค์กรทางศาสนากับกระทรวงมหาดไทย ในแต่ละพื้นที่และจะต้องเปิดเผยข้อมูลแก่หน่วยงานกํากับดูแล ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยชื่อและสถานะขององค์กรเป้าหมายและกิจกรรมขององค์กร ข้อมูลเจ้าหน้าที่องค์กร รายงานทางการเงิน 3ปีหลักฐานการรับรองสถานะเครดิตโดยธนาคาร และหลักฐานการ รับรองสัญชาติอิตาลีหรือถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายของผู้นํา องค์กร ภายหลังจากการขึ้นทะเบียนองค์กรแล้วกระทรวงมหาดไทยจะดําเนินการติดตามและตรวจสอบด้านการ เงินและการบริหารจัดการองค์กรทางศาสนา

แม้ว่าองค์กรทางศาสนาที่ขึ้นทะเบียนจะต้องถูก ตรวจสอบการดําเนินงานจากกระทรวงมหาดไทย ทว่ารัฐธรรมนูญกําหนดให้รัฐและคริสตจักรคาทอลิกเป็นอิสระจากกัน เช่นเดียวกันกับกฎหมายของสาธารณรัฐฝรั่งเศส เนื่องจากในอดีตคริสตจักรคาทอลิกมีบทบาทในการเข้ามาก้าวก่ายค้านการเมืองจากการปกครองตามรูปแบบในอดีต โดยคริสตจักรคาทอลิกจึงได้รับการกํากับดูแลโดยทั้งภาครัฐและสันตะสํานัก ซึ่งเป็นสถาบันด้านการปกครองของนครรัฐวาติกันที่มีพระสันตปาปาเป็นประมุข

ด้วยเหตุนี้คริสตจักรคาทอลิกจึงเป็นองค์กรทางศาสนาประเภทเดียวที่ได้รับการ ยกเว้นจากการติดตามตรวจสอบของกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากความตกลงในการบริหารจัดการระหว่างรัฐบาลสาธารณรัฐอิตาลีและนครรัฐวาติกัน

ทว่า คริสตจักรคาทอลิกในสาธารณรัฐอิตาลีจะต้องดําเนินการรายงานด้านการเงินต่อสถาบันเพื่องานศาสนา (Institute for the Works of Religion: IOR) ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินแห่งเดียวของนครรัฐวาติกัน โดย IOR จะมีการจัดทํารายงานทางการเงินที่ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานภาคเอกชนรายปีและรายงานต่อหน่วยงานด้านการตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน หรือ Financial Information Authority ซึ่งทําหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการก่อการร้ายแห่งนครรัฐวาติกัน

ในประเทศศรีลังกาไม่ได้กําหนดให้องค์กรของศาสนาหลัก ได้แก่ พุทธ อิสลาม ฮินดู และคริสต์ ต้องจดทะเบียนเป็นองค์กรทางศาสนา แต่กําหนดให้ศาสนาอื่นใดนอกจากสี่ศาสนาหลักดังกล่าวข้างต้น จะต้องดำเนินการจดทะเบียนกับรัฐบาลเพื่อรับอนุญาตในการจัดตั้งสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนา การรวบรวมเงินบริจาค การขออนุญาตทํางานของเจ้าหน้าที่ด้านการเผยแผ่ศาสนาต่างชาติ จัดตั้งโรงเรียนสอน ศาสนา และการขอรับการอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อการสนับสนุนด้านการศึกษาศาสนา 

สําหรับการกำกับดูแลวัดนั้น ศรีลังกามีการบังคับใช้กฎหมายที่เรียกว่ากฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่ใช้ในการวางมาตรฐานการจัดระเบียบทรัพย์สินและผู้ที่มีตําแหน่งหน้าที่ในการปกครองและบริหารจัดการวัด ภายใต้การกํากับดูแลโดยสํานักงานพระพุทธศาสนา

ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวกําหนดให้วัดต้องบริหารจัดการทรัพย์สินโดยการจัดตั้งกรรมการ หรือ trustee โดยให้อํานาจแก่เจ้าอาวาสหรือพระสงฆ์ผู้ดํารงตําแหน่งสูงสุดเป็นผู้มีอํานาจในการแต่งตั้งกรรมการ หรือสามารถแต่งตั้งตนเองให้เป็นผู้แทนกรรมการได้ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วเจ้าอาวาสในศรีลังกาส่วนใหญ่จะดํารงตําแหน่งกรรมการวัดเพื่อร่วมควบคุมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดด้วย

กฎหมายฉบับนี้ยังมีการจํากัดอํานาจของกรรมการวัดในการขายทรัพย์สินของวัด และห้ามนําทรัพย์สินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกจากการทํานุ บํารุงวัด สนับสนุนด้านพิธีกรรมทางศาสนา การช่วยเหลือผู้ยากไร้ และจ่ายค่าตอบแทนแก่ลูกจ้างวัดเท่านั้น โดยให้กรรมการที่เป็นผู้บริหารจัดการทรัพย์สินของวัดจัดทําบัญชีการบริหารจัดการทรัพย์สินในรูปแบบของงบการเงินเพื่อรายงานให้แก่สํานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกหกเดือน

หากพบว่ากรรมการดําเนินการผิดจากระเบียบของกฎหมายฉบับนี้ จะต้องได้รับโทษปรับไม่เกิน 200 รูปี อีกทั้งยังมีการกําหนดโทษแก่เจ้าอาวาส โดยเจ้าอาวาสที่ไม่ดําเนินการจัดทําข้อมูลทางการเงินการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดให้แก่ผู้ตรวจการสํานักงานพระพุทธศาสนา จะต้องได้รับโทษปรับไม่เกิน 200 รูปีเช่นกัน 

ทั้งนี้ จากการศึกษาของ "วาทินี หวังไพบูลย์" พบว่า กฎหมาย/กฎระเบียบกับการจัดการทรัพย์สินของวัดที่เข้มงวดของศรีลังกาเป็นผลจากการยึดครองอำนาจของประเทศอังกฤษในอดีตที่สั่งให้มีการออกกฎหมายเพื่อตรวจสอบดูแลการจัดการทรัพย์สินของวัด หลังจากที่พบการดําเนินการทุจริตของภิกษุสงฆ์และฆราวาส

อนึ่ง แม้ศรีลังกาจะมีโครงสร้างการบริหารจัดการวัดในลักษณะคล้ายกับประเทศไทย แต่ศรีลังกา มีการกําหนดมาตรการในการตรวจสอบดูแลการบริหารจัดการทรัพย์สิน การรายงานสถานะทางการเงินของวัดในรูปแบบการจัดทําบัญชี และการกําหนดโทษของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารจัดการทรัพย์สินซึ่งได้แก่ กรรมการวัดและเจ้าอาวาสไว้อย่างชัดเจน

แตกต่างจากประเทศไทยที่กฎหมายไม่มีการกําหนดให้วัดจะต้องรายงานทางการเงินอย่างชัดเจน รวมทั้งไม่มีบทลงโทษแก่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องมีหน้าที่ในการรายงานทางการเงิน

ข้อเสนอแนะเพื่อการป้องกันมิให้วัดถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทําความผิด

จากสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา คือ การใช้วัดบังหน้าเพื่อเป็นช่องทางในการรับโอนเงินจากการทุจริตเงินอุดหนุนวัด หรือการ ใช้วัดบังหน้าเพื่อการฉ้อโกงประชาชน เช่น กรณีหลวงปู่เณร ค่า หลอกระดมเงินสร้างพระแก้วมรกต และสร้างโรงพยาบาล แต่กลับนําไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตน

ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันมิให้ใช้วัดเป็นเครื่องมือของการกระทําความผิดเช่นที่ผ่านมา และเพื่อให้วัดคงไว้ซึ่งความศรัทธาของพุทธศาสนาจําเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเบื้องต้น โดยอาจต้องมีการพิจารณาดําเนินการดังนี้

ข้อเสนอแนะด้านกฎหมาย

จากแนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2511) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 กําหนดให้

1) การจัดทําบัญชีวัด การทําบัญชี จะต้องเป็นรอบระยะเวลา 1 ปีปฏิทิน โดยจะต้องแยกเงินของวัดออก เป็น 2 ประเภท คือ (1) เงินผลประโยชน์ ได้แก่ เงินค่าเช่า เงินค่า ขายสิ่งของ ฯลฯ (2) เงินการกุศล ได้แก่ เงินที่มีผู้บริจาค

2) การรับเงินผลประโยชน์และเงินการกุศล วัด จะต้องออกใบเสร็จรับเงินทุกครั้ง ทุกรายการ

3) บัญชีวัดที่ให้จัดทํานั้นมี 2 เล่ม ได้แก่ สมุด เงินสด และบัญชีแยกประเภท เมื่อจัดทําบัญชีทั้ง 2 เล่มแล้วให้เก็บรักษาไว้ที่วัดเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบในการขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ขอเป็นวัดพัฒนา และเมื่อมีชาวบ้านร้องเรียน

4) ให้วัดน่าตัวเลขรายละเอียดของรายรับแต่ละประเภท/รายจ่ายแต่ละประเภทในแต่ละเดือน จัดทํารายงานบัญชีรายรับรายจ่ายของวัด เพื่อส่งสํานักงาน พศ. จังหวัดทุก 1 เดือน

นอกจากนี้ ควรเพิ่มเติมแนวปฏิบัติตามกฎ กระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ในประเด็นดังต่อไปนี้ 

1) กําหนดให้สํานักงาน พศ. ต้องจัดทําแบบ บันทึกบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดเพื่อใช้เป็นรูปแบบ รายงานบัญชีให้กับวัดทุกแห่งให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน 

2) หลังจากที่วัดจัดทํารายงานบัญชีรายรับราย จ่ายของวัดตามรูปแบบที่สํานักงาน พศ. กําหนดแล้ว วัด ต้องนําส่งสํานักงาน พศ. จังหวัดทุก 1 เดือน และวัดต้อง ติดประกาศบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดในป้ายประกาศ บริเวณวัดที่พุทธศาสนิกชนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ชัดเจน

3) กําหนดให้สํานักงาน พศ. แต่ละจังหวัดมีหน้าที่ และอํานาจที่ชัดเจนในการตรวจสอบข้อมูลรายงาน บัญชีรายรับรายจ่ายของทุกวัดในเขตพื้นที่ ตลอดจนให้ ค่าแนะนําที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานของวัด

ทั้งนี้การปิดประกาศในบริเวณวัดที่พุทธศาสนิกชนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้สะดวกจะต้องดําเนินการอย่างน้อยเพื่อป้องกันมิให้พุทธศาสนิกชนที่มาทําบุญเกิด ความคลางแคลงใจต่อเงินบริจาคเพื่อการทําบุญ

ข้อเสนอแนะด้านนโยบาย

นอกจากการเพิ่มเติมแนวปฏิบัติให้แก่วัดเพื่อ ดําเนินการเกี่ยวกับความโปร่งใสของบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดแล้ว สํานักงาน พศ. เองซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้า ที่รับสนองงาน ประสานงาน และถวายการสนับสนุน กิจการและการบริหารการปกครองคณะสงฆ์ และเพื่อให้การบริหารการปกครองคณะสงฆ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สํานักงาน พศ. ควรดําเนินการดังนี้

1) จัดหาหน่วยงานภายนอกให้เข้ามาดําเนินการช่วยวัดแต่ละแห่งในการจัดทําบัญชีวัด โดยต้องระบุรายละเอียดรายรับ-รายจ่ายให้ชัดเจน ทั้งเงินที่ได้รับอุดหนุนจากภาครัฐ เงินรับบริจาค รายจ่ายที่ใช้ไปในการบูรณะ ซ่อมแซมวัด ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาลกรณีสงฆ์ อาพาธ ฯลฯ

ทั้งนี้การให้หน่วยงานภายนอกช่วยวัดท่าบัญชีอาจเป็นการช่วยลดภาระหน้าที่ให้แก่เจ้าอาวาส ซึ่งอาจไม่มีความรู้มากพอในการจัดทําบัญชีวัด และป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้

2) เมื่อหน่วยงานภายนอกจัดทําบัญชีแล้ว ให้หน่วยงานดังกล่าวจัดทํารายงานด้านการเงินให้สํานักงาน พศ. จังหวัดในทุก 6 เดือน

3) ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ โดย รายงานด้านการเงินของวัดที่จัดส่งให้สํานักงาน พศ.จังหวัด ควรต้องมีการเผยแพร่บนเว็บไซต์ของสํานักงาน
พศ.ด้วย

ในการให้เงินสนับสนุนแก่วัดที่เสนอโครงการเพื่อ ขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐ สํานักงาน พศ. อาจประเมินผล การดาเนินงานของวัดในโครงการที่ผ่านมา รวมทั้งตรวจ สอบเอกสารการเงิน การเบิกจ่าย และการใช้จ่ายเงิน ในโครงการดังกล่าวว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการอนุมัติเงินอุดหนุนต่อไป

ข่าวล่าสุด

SCB WEALTH กวาด 6 รางวัลระดับโลก สะท้อนความเป็นเลิศในทุกมิติการบริหารความมั่งคั่ง