posttoday

สวนดุสิตโพลเผยคนไทยกลุ้มเศรษกิจ เงินสำรองฉุกเฉินต่ำกว่า1เดือน

11 พฤษภาคม 2568

‘สวนดุสิตโพล’ เผยคนไทยกังวลค่าครองชีพ-ปัญหาเศรษฐกิจ อึ้งมีเงินสำรองฉุกเฉินต่ำกว่า 1 เดือน ภาพสะท้อนความเปราะบางทางการเงิน และความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล

สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างต่อเนื่องในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนของปัจจัยเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน

 

จากผลสำรวจล่าสุดของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ภายใต้หัวข้อ "คนไทยกับการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ" ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,229 คน ระหว่างวันที่ 6–9 พฤษภาคม 2568 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีความรู้สึกกังวลต่อเศรษฐกิจในระดับสูง โดย 51.59% ระบุว่า “ค่อนข้างกังวล” ขณะที่อีก 40.60% ระบุว่า “มีความกังวลมาก” นั่นหมายความว่า มากกว่า 92% ของประชาชนรู้สึกไม่มั่นคงกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน

 

ราคาสินค้าแพง-หนี้ครัวเรือนพุ่ง ภาระหนักของประชาชน

ข้อมูลจากโพลยังชี้ให้เห็นว่า ราคาสินค้าแพงขึ้น คือปัญหาที่สร้างความกังวลมากที่สุดในหมู่ประชาชน โดย 73.23% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าเป็นปัญหาหลัก รองลงมาคือ ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น (67.36%) และ ระดับหนี้สินครัวเรือนที่สูง (65.58%)

 

สิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ สถานะความมั่นคงทางการเงินของคนไทยในภาวะฉุกเฉิน พบว่า 48.32% ของกลุ่มตัวอย่างมีเงินสำรองฉุกเฉินใช้ได้ไม่ถึง 1 เดือน ขณะที่อีก 35.24% มีเงินสำรองพอใช้ 1–3 เดือนเท่านั้น มีเพียง 6.59% ที่มีเงินใช้จ่ายได้นานเกิน 6 เดือน ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงินของประชาชนในวงกว้าง

 

ประชาชนพยายามปรับตัว แต่รายได้ยังไม่พอรายจ่าย

แม้คนไทยจำนวนมากจะพยายามปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำ โดยผลโพลระบุว่า 77.37% ของกลุ่มตัวอย่างเลือก ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น 63.96% พยายาม ลดการก่อหนี้ใหม่ และอีก 50.80% เพิ่มการเก็บออม อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักยังอยู่ที่ รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ทำให้แม้จะวางแผนการเงินอย่างดี ก็ยังไม่สามารถพยุงตัวเองได้ในระยะยาว

 

การวางแผนการเงินอย่างต่อเนื่องยังถือเป็นความท้าทาย โดย 58.99% ระบุว่า มีการวางแผนทางการเงินแต่ไม่สามารถทำได้ต่อเนื่อง มีเพียง 27.83% เท่านั้นที่สามารถวางแผนและดำเนินการได้อย่างสม่ำเสมอ

 

ความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล อุปสรรคในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

จากผลโพล ยังพบว่า 76.06% ของประชาชน ไม่มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ขณะที่มีเพียง 23.94% เท่านั้นที่ยังเชื่อมั่นในทิศทางนโยบายของรัฐ นี่สะท้อนถึงช่องว่างระหว่างภาครัฐและประชาชนอย่างชัดเจน

 

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ชี้ว่า ความเปราะบางทางการเงินของประชาชนและผลลัพธ์จากนโยบายที่ยังไม่เห็นผลชัดเจน เป็นปัจจัยหลักที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของสังคม นอกจากนี้ ความพยายามในการลดรายจ่ายและวางแผนการเงินก็ยังไม่เพียงพอหากรายได้ยังคงไม่ครอบคลุมรายจ่ายพื้นฐาน

 

ส่งออก-ท่องเที่ยวชะลอตัว เสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย

ว่าที่ร้อยเอกศักดา ศรีทิพย์ อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรกฎหมายมหาชนฯ จากมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า ปัจจัยภายนอก เช่น การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ และเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ล้วนส่งผลให้ สองฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจไทย—การส่งออกและท่องเที่ยว—ได้รับผลกระทบโดยตรง และนั่นนำไปสู่ภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่อาจรุนแรงถึงระดับ “ถดถอย”

 

การที่ประชาชน ชะลอการบริโภคและจับจ่ายใช้สอย ก็ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งอาจทำให้วงจรเศรษฐกิจติดหล่มยาวนานขึ้น เว้นแต่จะมีมาตรการที่ชัดเจนและได้รับความเชื่อมั่นจากภาคประชาชน

 

ข้อเสนอเชิงนโยบาย ฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องจริงจังและโปร่งใส

ทางออกในระยะสั้นอาจอยู่ที่การเร่ง เจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะสหรัฐฯ อย่างรอบคอบ ให้เกิดผลประโยชน์ร่วมโดยที่ไทยไม่เสียเปรียบ ขณะเดียวกัน รัฐควรเร่งออกมาตรการที่ตอบโจทย์ปัญหาปากท้องอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงนโยบายระยะสั้นเพื่อสร้างภาพลักษณ์

 

สุดท้าย หากรัฐบาลต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจและฟื้นความเชื่อมั่นในสายตาประชาชน สิ่งสำคัญคือ ความชัดเจน โปร่งใส และความสามารถในการปฏิบัติได้จริงของนโยบาย มิใช่เพียงแค่คำสัญญา

ข่าวล่าสุด

ศาลนัดกำหนดวันนัดสืบพยาน "คดีตึกสตง.ถล่ม" ใหม่! โจทก์ร่วมหวั่นไม่รอบคอบ