posttoday

เอาจริง! แจ้งข้อหาหนัก 119 แก๊งคอลเซ็นเตอร์จากปอยเปต

05 มีนาคม 2568

รัฐบาลเอาจริง! ลุยกวาดล้างให้สิ้นซาก แจ้งข้อหาหนัก 199 คนไทยขายชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากปอยเปต 5 ข้อหา มีส่วนร่วมอาชญกรรมข้ามชาติ ฉ้อโกงประชาชน

กรณีที่คนไทยถูกจับกุมโดยตำรวจกัมพูชาในการกระทำความผิดอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยีที่ประเทศกัมพูชาแล้วส่งตัวกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568  จำนวนทั้งสิ้น 119 คน

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 119 คน

ล่าสุด 5 มี.ค. 2568 เวลา 09.00 สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำโดย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ  และพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.)  ร่วมกันแถลงผลคดีดังกล่าว

 

โดยก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้ไปหารือกับทางตำรวจกัมพูชา ในการร่วมกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และขอทางประเทศกัมพูชาส่งตัวคนไทยให้มาลงโทษตามกฎหมายไทย ทางกัมพูชาจึงส่งตัวทั้ง 119 คน มายังประเทศไทย

 

การจับกุมคนไทยโดยทางการกัมพูชาในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทย น.ส. แพทองธาร ชินวัตร และนายกรัฐมนตรีฮุน มาแณต ของประเทศกัมพูชา ในการร่วมมือกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งปราบปรามคนไทยที่ไปตั้งฐานร่วมกับชาวต่างชาติ กลุ่มทุนจีนสีเทา ในเขตประเทศกัมพูชาแล้วมาหลอกลวงคนไทย สร้างความเสียหายกับประเทศไทยและประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก

รับตัว 119 แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไทย จากปอยเปต

คนไทยจำนวน 119 คนได้ถูกทางการกัมพูชาจับกุมในเมืองปอยเปต เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ต่อเนื่องมาวันที่ 23 ก.พ.ทางการกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์และมีการออกข่าวหนังสือพิมพ์ภาคภาษาอังกฤษ ยืนยันว่าทุกคนสมัครใจที่จะเข้าร่วมกระทำความผิด ไม่มีถูกบังคับ

แถลงข่าวแจ้งข้อหา 119 แก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมื่อทั้งหมดถูกส่งตัวกลับประเทศไทยวันที่ 1 มีนาคม 2568 ตามกฎหมาย ทั้งหมดได้ถูกนำเข้ากระบวนการคัดกรองคัดแยกเหยื่อโดยสหวิชาชีพที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งที่ผ่านมาในกรณีเช่นนี้ทางการกัมพูชาได้ส่งตัวคนไทยที่กระทำผิดเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาประเทศไทยหลายครั้ง

 

แต่ทางกระบวนการคัดแยกคัดกรองเหยื่อไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลเหล่านี้ได้กระทำผิดเหล่านั้นจริง เนื่องจากพยานหลักฐานต่างๆ อยู่ในประเทศกัมพูชา ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กลับไปร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลอกคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

ทำให้มีคนไทยขายชาติอีกจำนวนมากได้เดินทางข้ามไปยังประเทศกัมพูชาร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นชาวต่างชาติ กลุ่มจีนเทา มาหลอกลวงคนไทยในวงกว้าง เพราะเมื่อไปทำความผิดแล้ว สามารถจะใช้ช่องทางการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์กลับมาประเทศไทยได้โดยอิสระไม่ต้องถูกดำเนินคดี

 

ในการแก้ไขปัญหานี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้อนุมัติให้กำลังพลมากกว่าร้อยนายที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสืบสวนจาก 4 หน่วยงานดังนี้

 

1.กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

2.กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

3.ตำรวจภูธรภาค 2

4.สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ

 

ให้เข้ามาร่วมในการสืบสวนขยายผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีคนไทยทั้ง 119 คน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่

จากการคัดแยกเหยื่อโดยสหวิชาชีพและการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ใน 119 คน มีคนที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวน 100 คน ซึ่งเป็นเด็กและเยาวชน จำนวน 4 คน อยู่ระหว่างการดำเนินการของสหวิชาชีพ และอีก 15 คนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป

 

โดยศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับจำนวน 102 คน โดยเป็นคนไทย 100 คน และขยายผลไปยังหัวหน้าแก๊งชาวจีนอีก 2 คน ในข้อหา "ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็น อั้งยี่,ซ่องโจร, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือ ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ตามคำร้องขอของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเมื่อวันที่ 3  มีนาคม 2568 

 

จากการสัมภาษณ์และคัดแยกกลุ่มตามสถานที่ที่บุคคลเหล่านี้ไปทำงานในประเทศกัมพูชา พบว่าคนไทยที่ทำงานที่ตึกภูมิตาสวน สามารถออกหมายจับคนไทย 100 ราย และบอสชาวจีน 2 ราย ในการหลอกลงทุนเทรดหุ้น โรแมนซ์สแกม เว็บพนันออนไลน์ การหลอกเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าและกรมที่ดิน ส่วนอาคาร K2 พบคนไทยจำนวน 15 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีฮุน มาแณต ของกัมพูชา ที่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สามารถดำเนินคดีในข้อหาหนักกับคนไทยที่ไปร่วมกับชาวต่างชาติตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกคนไทยในประเทศกัมพูชา ที่มีโทษสูงสุดถึง 15 ปี

 

จากนี้ไป จะไม่มีพวกกลุ่มคนไทยขายชาติใช้ช่องทางการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์เพื่อหลบหนีการกระทำความผิดอีกต่อไป และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเอาตัวคนไทยขายชาติเหล่านี้มาลงโทษในประเทศไทยในข้อหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดอื่นทุกข้อหาที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดและถึงที่สุดทุกคน 

 

ต่อจากนี้ ถ้ามีโทรศัพท์ หรือข้อความจากกลุ่มคนไทยขายชาติพยายามมาหลอกลวงท่านใด ให้ช่วยบอกคนไทยขายชาติเหล่านั้นระวังตัวให้ดี ตำรวจจะไปเอาตัวมาลงโทษอย่างสาสมเหมือนอย่างเช่นคดีคนไทย 119 คนนี้

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการยุทธการระเบิดสะพานโจรอย่างจริงจังและต่อเนื่องในการทำลาย 3 เสาหลักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้แก่ สัญญาณโทรศัพท์เน็ต บัญชีธนาคาร คนที่กระทำความผิด และคนไทยขายชาติ 

 

วันนี้เสาที่ 3 ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยขายชาติได้ถูกตัดขาดโดยการดำเนินคดีข้อหาหนัก ในข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดที่เกี่ยวข้อง การทำลาย 3 เสาหลัก ทั้ง 3 เสานี้จะทำอย่างต่อเนื่อง จริงจัง จนกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไปจากประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ข่าวล่าสุด

ดีป้า – บีโอไอ หนุนการลงทุนผ่านบัญชีบริการดิจิทัล 30% มูลค่าการลงทุน