posttoday

CIB จับ 10 สมาชิกแก๊งฟอกเงินจีนเทา พบถอนเงินสดกว่า 2,900 ล้านบาท

18 กุมภาพันธ์ 2568

CIB เปิดปฏิบัติการ “ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา” จับ 10 สมาชิกแก๊งฟอกเงิน ให้กลุ่มจีนเทา พบถอนเงินสดกว่า 2,900 ล้านบาท

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้ร่วมกันจับกุม 10 ผู้ต้องหาแก๊งจีนเทา

ตำรวจสอบสวนกลาง

โดยสืบเนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการในการหลอกลวงเหยื่อมาโดยตลอด ซึ่งส่วนใหญ่จะอาศัยพฤติกรรมของเหยื่อในการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น การซื้อขายของออนไลน์ การเช่าที่พัก รวมไปถึงการหางานหรือรายได้พิเศษ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามิจฉาชพได้เลือกใช้กลวิธีในการหลอกลวงเหยื่อในรูปแบบของการหางาน หรือหารายได้พิเศษทางช่องทางออนไลน์ อาศัยการทำงานที่ง่ายและได้เงินได้ทันที ทำให้เหยื่อเกิดความหลงเชื่อ สนใจเข้าร่วมทำงาน ก่อนจะหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ

 

โดยเมื่อประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 ได้มีผู้เสียหายซึ่งต้องการหางานทำเพื่อหารายได้พิเศษได้พบโพสต์ประกาศหางานในสื่อโซเชียลมีเดีย ประกาศว่าเป็นการทำงานพิเศษเสริมรายได้โดยเป็นการรับสินค้าไปแพ็กที่บ้าน ต่อมาผู้เสียหายเกิดความสนใจจึงได้ติดต่อพูดคุย ในช่วงแรกคนร้ายได้ชักชวนให้ทำงานพิเศษในรูปแบบออนไลน์ โดยเป็นงานกดไลค์ กดเพิ่มยอดติดตามต่างๆ เมื่อผู้เสียหายได้ทดลองทำงานดังกล่าวปรากฎว่าได้รับเงินจากการทำงานจริงเป็นจำนวนหลายครั้ง

จากนั้นคนร้ายจึงเริ่มชักชวนให้ผู้เสียหายทำกิจกรรมพิเศษต่างๆ โดยกิจกรรมดังกล่าวผู้เสียหายจะต้องนำเงินมาลงทุนก่อน จากนั้นจึงจะได้รับผลตอบแทนจากการทำงานตามเงินลงทุนที่ลงทุนไป โดยมีผลตอบแทนประมาณ 30%-50% ภายหลังผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้นำเงินไปร่วมลงทุน

 

ในช่วงแรกมีการให้ผลตอบแทนในการลงทุนจริง จากนั้นคนร้ายได้มีการหลอกลวงให้ผู้เสียหายนำเงินไปลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งภายหลังผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินออกมาจากระบบได้ โดยคนร้ายให้เหตุผลว่าเป็นความผิดของผู้เสียหาย อ้างว่าไม่ทำตามขั้นตอนที่กำหนด ภายหลังผู้เสียหายจึงเชื่อว่าตนเองถูกหลอกลวง จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. จึงได้ดำเนินการสืบสวน จนพบว่าขบวนการดังกล่าวมีการทำเป็นขบวนการ มีผู้ร่วมขบวนการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และมีการรับโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารต่างๆ ก่อนจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดถอนออกจากบัญชี จากการสืบสวนเบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกันอีกประมาณ 60 ราย มูลความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอออกหมายจับต่อศาลอาญา 

 

โดยออกหมายจับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 32 ราย โดยแบ่งเป็น

1.กลุ่มบัญชีม้าคนไทย จำนวน 10 ราย

2.กลุ่มขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน จำนวน 2 ราย

3.กลุ่มขบวนการที่มีการฟอกเงิน จำนวน 20 ราย (ชาวไทย 1 ราย, ชาวจีน 14 ราย, ชาวเกาหลี 5 ราย)   

 

ต่อมาในห้วงวันที่ 11-14 ก.พ.2568  เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. จึงได้สนธิกำลัง ร่วมด้วย บก.ป.,         บก.ปคบ., บก.ปคม. และ บก.ทล. เปิดปฏิบัติการ “ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา”  

โดยเข้าทำการตรวจค้น และ จับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทำความผิดดังกล่าว เข้าตรวจค้นจำนวน  20 จุด 8 จังหวัด ทั่วประเทศไทย แบ่งเป็นพื้นที่

- กรุงเทพฯ 7 จุด

- จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 5 จุด

- จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 3 จุด

- จังหวัดสระแก้ว จำนวน 1 จุด

- จังหวัดปราจีนบุรีจำนวน 1 จุด

- จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 1 จุด

- จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 1 จุด

- จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 1 จุด

ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา

สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 10 ราย 

1.) น.ส.อัจฉราฯ อายุ 27  ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 825/2568 ลง 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม คอนโดแห่งหนึ่งย่านสุทธิสาร แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 

2.) MR.GAO อายุ 35 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 829/2568 ลง7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม คอนโดแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

3.) MR.XIONG อายุ 30 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 839/2568 ลง 7 ก.พ.2568 สถานที่จับกุม  คอนโดย่านพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

4.) MR.MAO อายุ 46 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 834/2568 ลง 7 ก.พ.2568 สถานที่จับกุม ห้องพักแห่งหนึ่งย่านไนท์ซาฟารี ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่

5.) MRS.ZHOU อายุ 44 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 827/2568 ลง 7 ก.พ.2568 สถานที่จับกุม หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.สันผีเสื้อ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

6.) น.ส.พรทิพย์ฯ อายุ 44 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 817/2568 ลง 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม บ้านแห่งหนึ่ง อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี

7.) นายนพวิทย์ฯ อายุ 31 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 814/2568 ลง 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม บ้านแห่งหนึ่ง อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว

8.) นายชลธีฯ อายุ 21 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 812/2568 ลง 7 ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร

9.) น.ส.ปัณฑารีย์ฯ อายุ 26 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 813/2568 ลง 7 ก.พ.2568 สถานที่จับกุม บ้านแห่งหนึ่งใน อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช

10.) น.ส.สุภาวดีฯ อายุ 39 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 810/2568 ลง 7ก.พ. 2568 สถานที่จับกุม หน้าบ้านแห่งหนึ่งใน อ.ลาดใหญ่ จ.สมุทรสงคราม

 

งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”

 

พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆ รวม 210 รายการ เช่น คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, สมุดบัญชี, รถยนต์ ,รถจักรยานยนต์, เงินสด, โฉนดที่ดินบ้าน/คอนโด, นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนด์เนมและทรัพย์สินมีค่าต่างๆ รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท  นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย 

 

ทั้งนี้ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำการตรวจค้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเชื่อว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวได้ทำการฟอกเงินซื้อทรัพย์สิน และอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นบ้านหรูและคอนโดหรู ทรัพย์สินมีค่า อาทิเช่น นาฬิกาหรู กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ มูลค่ารวมทั้งหมดกว่า 440 ล้านบาท   

 

จากการการสอบถามผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาลำดับที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการฟอกเงินในประเทศไทย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การรับในข้อเท็จจริงว่า ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณปี พ.ศ.2562 ตนเคยทำหน้าที่เป็นล่ามและไกด์พาเที่ยวให้กับชาวจีน ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.2566 ผู้ต้องหาได้รู้จักกับแฟนหนุ่มชาวจีนและได้ร่วมกันรับเหรียญดิจิทัลจากลูกค้ากลุ่มจีนเทาต่างๆ ที่ต้องการใช้เงินในประเทศไทย และนำเหรียญดิจิทัลมาขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยนำส่งให้กับกลุ่มจีนเทาตามคำสั่ง

 

โดยจะได้ค่าบริการ 0.03% - 0.05% ของยอดเงิน โดยขั้นตอนการทำงานแต่ละครั้งแฟนหนุ่มของผู้ต้องหาที่ 1 จะติดต่อกับกลุ่มจีนเทาต่างๆ จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 และคนในแก๊งจะรับเหรียญดิจิทัลมาจากลูกค้าแล้วนำเหรียญดิจิทัลมาขายออกในรูปแบบ p2p ผ่านแพลฟอร์ม EXCHANGE  

 

ผู้ต้องหาจะส่งเงินตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา ซึ่งในกรณีถ้ายอดเงินมีจำนวนไม่มาก ผู้ต้องหาที่ 1 และแฟนหนุ่มชาวจีน จะใช้วิธีการโอนเงินผ่านบัญชีของตนเองไปให้กับลูกค้า แต่หากในกรณีเงินที่ต้องส่งให้กับลูกค้าจำนวนมาก ผู้ต้องหาที่ 1 จะเบิกเงินสดแล้วนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าตามสถานที่นัดหมายหรือนำเงินสดฝากเข้าบัญชีต่างๆ ตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา

 

เนื่องจากกลุ่มจีนเทามีความต้องการเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปใช้จ่ายในประเทศไทย โดยผู้ต้องหาที่ 1 และแฟนหนุ่มชาวจีน ได้ร่วมกันกับพวกฟอกเงินให้กับกลุ่มจีนเทามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2566 ถึงปัจจุบัน

 

จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของแก๊งพบว่ามีการรับเงินดิจิทัลสกุล USDT จำนวนประมาณ 187 ล้านเหรียญUSDT (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 6,500 ล้านบาท) มีการถอนเงินสดเป็นเงินไทยประมาณ 2,900 ล้านบาท และยังมีการนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

 

ในส่วนของผู้ต้องหาลำดับที่ 2-5 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาชาวจีน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่ามีส่วนร่วมกับผู้ต้องหาที่ 1 และกลุ่มคนจีนคนอื่นๆ ในการรับเหรียญดิจิทัลมาจากกลุ่มจีนเทามาเทขายเหรียญก่อนที่จะนำเงินสดไปส่งมอบให้กับลูกค้าชาวจีนตามจุดนัดหมายต่างๆ โดยกลุ่มคนจีนมีการแบ่งหน้าที่กันทำงาน มีทั้งการถอนเงินสดที่สาขา การนำส่งเงินสดตามที่ลูกค้านัดหมายตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย 

 

ในคดีนี้นอกจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความเกี่ยวข้องของเส้นทางการเงินที่มีการไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ แล้ว ยังพบว่าขบวนการนี้มีพฤติการณ์ในการก่อตั้งบริษัทที่ให้คนไทยมาเป็นนอมินีในการจัดตั้งเพื่อมารับโอนกรรมสิทธิ์บ้าน ภายหลังการโอนกรรมสิทธิ์จะเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจเป็นคนจีน ซึ่งบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อโอนกรรมสิทธิ์บ้านเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการดำเนินธุรกิจจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมในการตรวจยึดอสังหาริมทรัพย์และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด