แผนพลังงานชาติสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ” ตามแนวทาง 4D1E
การที่ประเทศไทยจะมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 ทิศทางนโยบายพลังงานของประเทศไทย จำเป็นต้องดำเนินการตามแนวทางที่เรียกว่า นโยบาย 4D1E ..
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้พิจารณาเห็นชอบกรอบแผนพลังงานชาติโดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และเพื่อเป็นการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำนั้น ทิศทางนโยบายพลังงานของประเทศไทย จำเป็นต้องดำเนินการตามแนวทางที่เรียกว่า นโยบาย 4D1E ซึ่งประกอบด้วย Digitalization, Decarbonization, Decentralization, De-Regulation, และ Electrification ซึ่งในแผนพลังงานตามแนวทาง 4D1E จะครอบคลุม 5 ด้านหลัก คือด้านไฟฟ้า ด้านน้ำมัน ด้านก๊าซธรรมชาติ ด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก และด้านการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีมาตรการส่งเสริมหลักหลักดังนี้
ด้านไฟฟ้า
• การเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนให้มากขึ้นในการผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับบริโภคในประเทศ จาก 26% เป็น 30% เพื่อเป็นการลดสัดส่วนการผลิตจากเชื้อเพลิงที่ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ อ้างอิงตามแผน PDP 2018 Rev.1 (Power Development Plan 2018 Revision 1.) ณ ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ, น้ำมัน และพลังน้ำ มีอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน/ลิกไนต์ พลังงานหมุนเวียน และไฟฟ้านำเข้าจากเพื่อนบ้าน มีอัตราที่ลดลง ส่วนในด้านปริมาณการใช้ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นในเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสาขาธุรกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (2022)
• การพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับ, การใช้ประโยชน์, และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Usage and Storage, CCUS) มีการประเมินศักยภาพในการกักเก็บ CO2, การคัดเลือกพื้นที่ในการกักเก็บ CO2, การจัดทำร่างกฎหมายในการดำเนินงานด้าน CCUS, และโครงการนำร่องเพื่อพิสูจน์ทราบความสามารถในการกักเก็บ CO2
• การดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบ smart grid โดยที่ขั้นตอนการผลิตพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นแบบกระจายศูนย์ และมีโครงสร้างพื้นฐานระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการเชื่อมต่อสถานีชาร์จรถไฟฟ้าสาธารณะ
ด้านน้ำมัน
• การส่งเสริมการปรับปรุงมาตรฐานโรงกลั่นน้ำมันและส่งเสริมโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อรองรับคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 5 ซึ่งมีส่วนในการลดต้นตอของสาเหตุการเกิดฝุ่น pm 2.5 ที่เกิดจากท่อไอเสียรถยนต์ ทางกระทรวงพลังงานมีการส่งเสริมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำและเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยการกำหนดสัดส่วนผสมไบโอดีเซลและลดชนิดของน้ำมันค้าปลีกเพื่อลดความสับสนของตัวเลือกน้ำมันของผู้บริโภคเนื่องจากชนิดของน้ำมันค้าปลีกในท้องตลาดตามสถานีบริการน้ำมันมีจำนวนหลายสูตรหลายส่วนผสมมากเกินไป ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มต้นทุนการผลิตและค่าการตลาดอีกด้วยเช่นกัน
• การพัฒนาระบบการควบคุมกำกับดูแลและเก็บข้อมูลแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนากระบวนการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพโดยใช้ e-service โดยโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการประกอบกิจการน้ำมันเชื้อเพลิงให้บริการในหลายด้าน เช่น การพิจารณาออกใบรับรองการประกอบอาชีพทางด้านพลังงาน ระบบฐานข้อมูลสถานที่เก็บและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองของประเทศ และเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร และเป็นศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลธุรกิจพลังงานด้านความปลอดภัยน้ำมันเชื้อเพลิง
ด้านก๊าซธรรมชาติ
• การส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคเศรษฐกิจต่างๆเพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการใช้ LNG
• การเร่งรัดการสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งปิโตรเลียมภายในประเทศ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติให้เหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการใช้ในระดับภูมิภาค
• การส่งเสริมการเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติโดยปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคให้เกิดการแข่งขันอย่างเต็มรูปแบบโดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น Regional LNG Hub
ด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก
• ภารกิจงานสำคัญโดยภาพรวมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในปัจจุบัน คือ การส่งเสริมการประเมินศักยภาพพลังงานหมุนเวียน การส่งเสริมและพัฒนากลไกการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ การจัดทำแพลตฟอร์มและพัฒนาส่วนข้อมูลในการควบคุมพลังงานหมุนเวียนด้วยระบบดิจิตอล การส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเช่น การพัฒนาคุณภาพ Renewable Energy Certificates (RECs) ให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มที่ต้องการ RECs ในอนาคต และกำกับดูแลราคาRECs ภายในประเทศให้มีเสถียรภาพ นอกจากนั้นยังมีการส่งเสริมทางด้านการศึกษาและพัฒนาการใช้พลังงานไฮโดรเจนของประเทศไทยเพื่อให้ไทยมีความพร้อมสามารถเริ่มมีการใช้ไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์ในภาคพลังงานภายในปี 2030 และเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี2050
ด้านการอนุรักษ์พลังงาน
• การผลักดันมาตรการการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (BEC) มีการผลักดันเต็มรูปแบบโดยประกาศคณะกรรมการควบคุมอาคารเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 โดยบังคับให้อาคารที่ก่อสร้างใหม่หรือดัดแปลงขนาดตั้งแต่ 2000 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องออกแบบให้ผ่านเกณฑ์อนุรักษ์พลังงานที่กำหนด มีสนับสนุนควบคู่ไปกับโครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อส่งเสริมการบังคับใช้เกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (BEC) เพื่อการอนุรักษ์พลังงานพลังงาน
• สำหรับการส่งเสริมด้านการอนุรักษ์พลังงานที่สำคัญเช่นกัน คือมาตรการประหยัดพลังงานในหน่วยงานภาครัฐ มีการส่งเสริมโครงการสนับสนุนการลงทุนการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในโรงพยาบาลของรัฐเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของภาครัฐ
• สำหรับมาตรการบริษัทจัดการพลังงานหรือ ESCO (Energy Service Company) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการอนุรักษ์พลังงาน มีการผลักดันสำหรับหน่วยงานภาครัฐในด้านการกำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ให้มีรูปแบบของการตั้งงบประมาณ วิธีการจัดซื้อจัดจ้างและสัญญา ตามมาตรฐานอนุรักษ์พลังงาน เนื่องจากค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐในแต่ละปีมีค่าสูงและอุปกรณ์บางชนิดยังมีประสิทธิภาพต่ำ อ้างอิงจากข้อมูลเมื่อ31 มีนาคม 2566 ทางหน่วยงานรัฐยังมีหนี้ค่าไฟฟ้าค้างชำระจำนวน 6808 ล้านบาท เพื่อลดค่าใช้จ่ายในด้านพลังงาน บริษัทจัดการพลังงานพลังงาน หรือ ESCO จึงเป็นโมเดลธุรกิจการบริหารจัดการอนุรักษ์พลังงานแบบครบวงจร โดยทาง ESCO จะเข้ามาดูแลระบบการใช้พลังงาน โดยติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานและตรวจวัดเพื่อพิสูจน์ผลประหยัดที่ได้ โดยทางรัฐจะจ่ายเงินตามเงื่อนไขจากผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นตามสัญญา ซึ่งคาดว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ คือ การลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าของภาครัฐประมาณ 5000 ล้านบาทต่อปี หรือ ลดภาระการจัดหางบลงทุนภาครัฐในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ งบประมาณด้านซ่อมบำรุงได้ถึง 35,000 ล้านบาทต่อปี เช่นกัน
ดร.ณัทกฤช อภิภูชยะกุล
ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพลังงาน


