posttoday

ผู้ว่าฯ กทม.แจงศาลปกครองไม่ได้สั่งรื้อถอนแอชตัน อโศกมีเวลาแก้ไขกว่า 30 วัน

03 สิงหาคม 2566

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. แจงแนวทางดำเนินการต่ออาคารชุดแอชตัน อโศก ย้ำศาลปกครองไม่ได้สั่งรื้อถอน ยังเปิดโอกาสแก้ไขให้ถูกต้องไม่น้อยกว่า 30 วัน ยันไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่ใคร

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แถลงข่าวถึงแนวทางการดำเนินการกับอาคารชุดแอชตัน อโศก ณ ห้องเจ้าพระยา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร ว่า ตามกฎหมายมาตรา 41 ระบุชัดถึงเจตนารมณ์ว่า สามารถแก้ไขปรับเปลี่ยนอาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ โดยให้ระยะเวลา 30 วัน

โดยทาง กทม. จะต้องเชิญทางบมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เจ้าของโครงการแอชตันและผู้เกี่ยวข้องมาร่วมหารือว่าสามารถปรับปรุงและแก้ไขตามที่กฎหมายกำหนดได้หรือไม่ หากไม่ได้ทาง กทม. อาจจะขยายระยะเวลาให้ได้ตามเหตุอันสมควร และขอยืนยันว่า กทม. ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ใดทั้งสิ้น แต่คำพิพากษาของศาลตัดสินให้เพิกถอนใบรับแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารฯ ไม่ใช่การรื้อถอน ดั้งนั้น กทม. จึงต้องให้โอกาสในการยื่นขอใบรับแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารฯ ใหม่ เพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวถึงแนวทางการดำเนินการกับอาคารชุดแอชตัน อโศก

นอกจากนี้ทาง ผู้ว่าฯ กทม. ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางเข้า-ออกอาคารที่เป็นปัญหาดังกล่าวยังเปิดใช้การได้ตามปกติ ซึ่งกทม.จะเร่งดำเนินการประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด แต่เรื่องดังกล่าว ไม่ใช่กรณีที่เร่งด่วนในเรื่องของความปลอดภัยของตัวอาคาร อาทิ เรื่องโครงสร้างอาคารไม่ถูกต้องจนอาจมีความเสี่ยงเกิดการถล่ม หรือรถดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปที่อาคารดังกล่าวได้ซึ่งนั้นเป็นกรณีที่เร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ เพราะฉะนั้นอาคารดังกล่าวยังปลอดภัยดีอยู่ทุกประการ

แต่ปัญหาเป็นเรื่องของทางเข้า-ออกอาคาร ที่ต้องดำเนินการตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 500 ราย และเป็นความรับผิดชอบของผู้ขออนุญาตก่อสร้างอาคารที่ต้องแก้ไขปัญหา ซึ่งภายในสัปดาห์นี้จะทำหนังสือถึงเจ้าของโครงการเพื่อรับทราบแนวทางในการแก้ปัญหา แล้วจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลจากรฟม. เพื่อถอดบทเรียนถึงปัญหา กระบวนการในการแก้ปัญหาหากพบกรณีดังกล่าวในอนาคต ที่กทม.จะนำข้อมูลไป พิจารณาปรับปรุงแนวทางในการอนุญาตก่อสร้างอาคารต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีปัญหาในกรณีดังกล่าว

ด้านรองผู้ว่าฯ วิศณุ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าโครงการแอชตัน อโศก แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ เรื่องการยื่นแจ้งเพื่อขออนุญาตก่อสร้าง กับเรื่องการขอใบรับรองดัดแปลงอาคาร โดยบมจ. อนันดาฯ เจ้าของโครงการแอชตัน ยื่นแจ้งครั้งแรกเมื่อปี 2558 ซึ่งกทม.มีหนังสือทักท้วงไป และมีการยื่นต่อมาอีกรวม 3 ครั้ง กทม. ก็มีหนังสือทักท้วงไปตลอด

จนกระทั่งมีการฟ้องเป็นคดีกันในปี 2558 และหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะต้องมีการยื่นขอเปิดอาคาร ทางบริษัทฯ ได้ยื่นขอมาในเมื่อปี 2560 ซึ่งกทม. ก็ทักท้วงไปเนื่องจากยังมีคดีเรื่องทางเข้า-ออก ซึ่งไม่ได้ตามที่กฎหมายกำหนดอยู่ โดยโครงการแอชตันฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ไปที่กรรมการควบคุมอาคาร จนกรรมการอุทธรณ์ พิจารณาเห็นว่า กทม. ควรออกใบรับแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารฯให้ ซึ่งทางสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร จึงออกใบรับแจ้งฯ ให้แบบมีเงื่อนไข

โดยระบุว่า เรื่องที่ดินที่ตั้งโครงการซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองกลาง ที่มีผู้ฟ้องคดีกรณีโครงการใช้ที่ดินของรฟม. ผ่านเข้า-ออก นั้น หากศาลมีคำพิพากษาสิ้นสุดแล้ว ผลพิจารณาทำให้อาคารดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย ผู้ได้ใบรับรองจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อตนเองและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งต้องดำเนินการแก้ไขอาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารต่อไป

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวถึงแนวทางการดำเนินการกับอาคารชุดแอชตัน อโศก

ด้าน รองผู้ว่าฯ วิศณุ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กทม. จะออกหนังสือถึง บมจ. อนันดาฯ  เจ้าของโครงการแอชตัน อโศก ให้ปรับปรุงแก้ไขตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เบื้องต้นจะให้เวลาไม่น้อย 30 วัน แต่หากไม่สามารถแก้ไขได้ภายในกรอบระยะเวลา บริษัทฯ สามารถยื่นขอขยายเวลาได้ โดย กทม.จะพิจารณาประเมินเหตุผลว่า สมควรขยายเวลาให้หรือไม่ ตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ระบุไว้ว่า หากไม่สามารถทำได้ตามกำหนดระยะเวลาได้ ก็สามารถขยายเวลาออกไปได้ แต่ต้องสมเหตุสมผล

สำหรับในส่วนของการตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้างอาคารในกรุงเทพฯ ในปัจจุบันเพิ่มเติม ได้มอบหมายให้สำนักงานควบคุมอาคาร สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร เป็นผู้รวบรวมข้อมูลเพื่อตรวจสอบปัญหาของอาคารอื่น ๆ ที่อาจจะพบปัญหาคล้ายกรณีดังกล่าว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาในอนาคตต่อไป