รู้จัก"คดีพินัย"ใครตกเป็นผู้กระทำผิดมีโทษปรับไม่ติดประวัติอาชญากร
โชติวัฒน์ เหลืองประเสริฐ ประธานศาลฎีกา ออกประกาศข้อบังคับวิธีพิจารณาคดีทางพินัยให้ความผิดแต่เพียงโทษปรับสถานเดียวไม่ถือเป็นความผิดอาญา ผู้กระทำผิดไม่ติดประวัติอาชญากรลดผลกระทบสังคมแถมทำงานแทนค่าปรับ
นายโชติวัฒน์ เหลืองประเสริฐ ประธานศาลฎีกาได้ออกประกาศข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีความผิดทางพินัย พ.ศ.2566 ตามที่ได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ.2565 ซึ่งจะเริ่มใช้บังคับวันที่ 22 มิ.ย.66 มีผลทำให้ความผิดที่มีแต่เพียงโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายต่างๆ ตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.ถูกเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัย โดยไม่ถือเป็นความผิดอาญาอีกต่อไป กฎหมายพืชกระท่อมประเดิมเป็นฉบับแรก ส่วนอีก 168 พ.ร.บ. จะเปลี่ยนเป็นพินัยในเดือนตุลาคมนี้ ผู้กระทำผิดคดีพินัยไม่ติดประวัติอาชญากรเพื่อลดผลกระทบทางสังคม และสามารถขอผ่อนชำระค่าปรับหรือทำงานแทนค่าปรับได้ตามฐานะเศรษฐกิจ โดยกฎหมายกำหนดให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีประเภทนี้
สำหรับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัยนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ เนื่องจากเดิมศาลยุติธรรมมีแต่ คดีแพ่ง คดีอาญา ต่อไปจะมีคดีพินัย อีกประเภท โดยสาระสำคัญของพ.ร.บ.นี้เป็นกฎหมายกลางที่กำหนดหลักเกณฑ์ในทางสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติเพื่อใช้ในการพิจารณาและกำหนดค่าปรับสำหรับความผิดที่มี กฎหมายกำหนดให้ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย (มาตรา ๕) และ “ปรับเป็นพินัย” เป็นการบัญญัติชื่อขึ้นใหม่ซึ่งเป็นมาตรการในการลงโทษผู้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงแทนโทษปรับทางอาญาและโทษทางปกครอง
หลักในการพิจารณาและกำหนดค่าปรับเป็นพินัย เป็นการเปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวและความผิดที่มีโทษทางปกครองเป็นความผิดทางพินัย โดยใช้หลักการพิจารณาให้เหมาะสมกับสภาพความผิดและกำหนดค่าปรับให้เหมาะสมกับฐานะของผู้กระทำความผิด โดยให้พิจารณาจากระดับความรุนแรงของผลกระทบต่อชุมชนหรือสังคม ผลประโยชน์ที่ผู้กระทำความผิดหรือบุคคลอื่นได้รับจากการกระทำความผิดทางพินัย และสถานะทางเศรษฐกิจของผู้กระทำความผิดด้วย โดยจะให้ผ่อนชำระเป็นรายงวดก็ได้(มาตรา ๙)กระบวนการปรับเป็นพินัย กำหนดเป็น 3 ชั้น คือ
ในชั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คือ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมายนั้นเองมีหน้าที่และอำนาจดำเนินการ
- แสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด (มาตรา ๑๘)
- ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงหรือแก้ข้อกล่าวหาตามสมควร (มาตรา ๑๘) ๓) เมื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอว่ามีการกระทำความผิดทางพินัย
- ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีคำสั่งปรับเป็นพินัยโดยทำเป็นหนังสือและส่งคำสั่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ โดยระบุข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดจำนวนเงินค่าปรับ ระยะเวลาที่ต้องชำระ และแจ้งให้ทราบถึงกระบวนการในขั้นตอนต่อไป (มาตรา ๑๙ และมาตรา ๒๐)
- เมื่อผู้กระทำความผิดชำระค่าปรับเป็นพินัยภายในระยะเวลาที่ กำหนดแล้ว ให้ความผิดทางพินัยเป็นอันยุติ(มาตรา ๓๑ (๑)
- กรณีที่ไม่มีการชำระค่าปรับเป็นพินัยภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่ว่าจะมีการแก้ข้อกล่าวหาหรือไม่ก็ตาม ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย พยานหลักฐาน และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลต่อไป (มาตรา ๒๒)
ชั้นพนักงานอัยการ เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนคดีความผิดทางพินัยจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
แล้ว หากพนักงานอัยการเห็นควรสั่งฟ้อง
- ให้ฟ้องคดีต่อศาลโดยไม่ต้องนำตัวผู้กระทำความผิดไปเพื่อยื่นฟ้องด้วย (มาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง)
- กรณีที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ให้แจ้งไปยังหัวหน้าหน่วยงานของรัฐทราบพร้อมทั้งเหตุผล
- หากหัวหน้าหน่วยงานของรัฐไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของพนักงานอัยการ ให้ทำความเห็นแย้งเสนอไปยังผู้ดำรงตำแหน่งเหนือพนักงานอัยการที่มีคำสั่งเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด (มาตรา ๒๔ วรรคสอง)
ในชั้นศาล กำหนดให้ศาลจังหวัดซึ่งมีอยู่ครอบคลุมทุกท้องที่เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา คดีความผิดทางพินัย และกำหนดให้วิธีพิจารณาคดีเป็นไปตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบ ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ชำระค่าปรับเป็นพินัย
- หากผู้กระทำความผิดไม่ชำระค่าปรับภายในเวลาที่ศาลกำหนด ศาลมีอำนาจออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องคำพิพากษาเพื่อใช้ค่าปรับ (มาตรา ๒๘)
- หากผู้กระทำความผิดชำระค่าปรับเป็นพินัยครบตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกำหนด คดีความผิดทางพินัยเป็นอันยุติ(มาตรา ๒๕)


