posttoday

น้ำมันฟื้น ดันกลุ่มปตท.

31 พฤษภาคม 2560

ไตรมาสแรกกลุ่ม ปตท.ทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว

โดย...ประลองยุทธ ผงงอย

ไตรมาสแรกกลุ่ม ปตท.ทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ช่วงที่เหลือแม้ว่าอานิสงส์น้ำมันจะแผ่วลง แต่กลุ่มนี้ยังมีข่าวดีจากการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม นอกจากนั้นแนวโน้มราคาน้ำมันทั้งปีเฉลี่ยยังคาดว่าจะยังสูงกว่าปี 2559 ที่จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มนี้ต่อไป

“พิจินต์ อภิวันทนาพร” ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. (PTT) กล่าวว่า นโยบายของกลุ่ม ปตท.จะให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในการลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรสะท้อนได้ชัดเจนจาก บริษัท ปตท.สผ. (PTTEP) ที่ในไตรมาสแรกปี 2560 สามารถลดต้นทุนการผลิตได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีก็ทำได้ดีรวมถึงบริษัทด้วยเช่นกัน ทั้งนี้จะเป็นนโยบายสำคัญที่จะดำเนินการต่อเนื่องในปีนี้

ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยช่วงไตรมาสแรกปีนี้ที่ปรับสูงขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ผลประกอบการในกลุ่มมีผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาดีขึ้นจากปีก่อนเกือบทุกบริษัท ทำให้รายได้ในปี 2560 จะเติบโตตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเฉลี่ยทั้งปี 2560 จะอยู่ที่ระหว่าง 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากราคาเฉลี่ยปี 2559 อยู่ที่ราว 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มีปัจจัยบวกส่วนหนึ่งจากการที่ซาอุดิอาระเบียกับรัสเซียสามารถบรรลุข้อตกลงในการลดกำลังการผลิตน้ำมัน

ขณะที่ผลประกอบการช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้จะไม่สูงเท่ากับช่วงไตรมาสแรกที่มีกำไร 4.62 หมื่นล้านบาท เพราะช่วงไตรมาสแรกบันทึกกำไรจากรายการพิเศษที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียวหลายรายการ อาทิ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากผลของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเพราะช่วงที่เหลือปีนี้ยังสามารถคาดการณ์ทิศทางค่าเงินบาทได้ยาก รวมถึงกำไรจากสต๊อกน้ำมันจากราคาน้ำมันปัจจุบันที่ระหว่าง 50-52 เหรียญสหรัฐ ช่วงที่เหลือปีนี้จึงคาดว่าจะมีกำไรสต๊อกน้ำมันเกิดขึ้นได้อีกไม่มาก กำไรในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมาจากการดำเนินงานเป็นหลัก

สำหรับงบลงทุนช่วง 5 ปี คือ ปี 2560-2564 ตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 3.39 แสนล้านบาท โดยสัดส่วนหลักประมาณ 60-70% จะแบ่งใช้ในการลงทุนท่อส่งก๊าซธรรมชาติและคลังรับก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งการลงทุนในกลุ่มนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามราคาน้ำมัน

นอกจากนั้น ที่ประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นล่าสุดได้อนุมัติปรับโครงสร้างบริษัทโอนกิจการของหน่วยธุรกิจน้ำมัน รวมถึงสินทรัพย์และหนี้สินของหน่วยธุรกิจดังกล่าวให้กับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ PTTOR ที่จะดำเนินการเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ได้ในปี 2561

ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้บริษัทจะโอนขายทรัพย์สินในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี 6 บริษัทที่บริษัทลงทุนทางตรง มูลค่า 2.60 หมื่นล้านบาท ให้กับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ส่งผลให้บริษัทจะรับรู้กำไรพิเศษจากการขายหุ้นครั้งนี้เล็กน้อย เพราะในบางธุรกิจของกลุ่มปิโตรเคมียังขาดทุน

PTTGC เป็นบริษัทเรือธงในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีของกลุ่ม ปตท. การโอนทรัพย์สินในครั้งนี้จึงจะทำให้การเติบโตของธุรกิจปิโตรเคมีเติบโตได้ดีกว่าเดิมและสามารถสร้างประโยชน์ร่วมทางธุรกิจ

“ทิติพงษ์ จุลพรศิริดี” ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ PTTGC กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้บริษัทจะโอนซื้อรับทรัพย์สินธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีจำนวน 6 บริษัท มูลค่า 2.60 หมื่นล้านบาท มาจาก PTT ส่งผลให้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้บริษัทจะเริ่มทยอยรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัททั้ง 6 แห่งทันที

ทั้งนี้ เมื่อคำนวณเทียบตามสัดส่วนภายหลังถือหุ้นครั้งนี้ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2559 มีกำไรราว 1,400 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสแรกปี 2560 บริษัทจะมีกำไรประมาณ 1,000 ล้านบาท คิดตามสัดส่วนการถือหุ้น

บริษัทยังมีนโยบายสำคัญในการสร้างมูลค่าต่อยอดในผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและจำหน่ายโดยการโอนธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีของ PTT มาไว้ที่ PTTGC ถือเป็นการขยายธุรกิจเพิ่มทำให้พอร์ตในกลุ่มปลายน้ำของบริษัทจะมีความสมบูรณ์มากขึ้น และในอนาคตมีแผนจะสร้างประโยชน์ในกลุ่มธุรกิจทั้งหมดจากการโอนทรัพย์สินปิโตรเคมีในครั้งนี้ด้วย เพื่อทำให้ซัพพลายเชนของบริษัทมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย

ในปีนี้คาดว่าค่าการกลั่น (GRM) จะอยู่ที่ประมาณ 6.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปี 2559 ที่ 5.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเฉลี่ยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 52-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยปี 2559 ที่ 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังจากราคาเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 1/2560 อยู่ที่ระดับ 52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการดำเนินโครงการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่าย (MAX) ที่ตั้งเป้าหมายจะสร้างผลกำไรจากเฉพาะโครงการนี้ในทั้งปีนี้ที่ประมาณ 3,200 ล้านบาท เป็นส่วนเพิ่มเข้ามา หลังจากช่วงไตรมาสแรกปีนี้สามารถทำกำไรจากโครงการ MAX ได้แล้วที่ 652 ล้านบาท

สำหรับในปี 2561 บริษัทมีอัตราการใช้กำลังผลิตเฉลี่ยในการผลิตเพิ่มสูงขึ้นจากปีนี้ เพราะในส่วนโรงกลั่นและโรงอะโรเมตริกส์จะเดินเครื่องผลิตเต็ม 100% ส่วนโรงโอเลฟินส์จะปิดซ่อมบำรุงบางหน่วยการผลิต สำหรับความต้องการซื้อและความต้องการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโลกในช่วง 3 ปีข้างหน้ายังมีความสมดุลยังไม่เห็นปัจจัยกดดันราคาขายผลิตภัณฑ์ให้ลดลง

“ยงยศ ครองพาณิชย์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน PTTEP กล่าวว่า ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้ที่ปรับเพิ่มในช่วงระหว่าง 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะส่งผลบวกบ้างต่อธุรกิจผลิตและขายน้ำมัน ขณะที่ธุรกิจผลิตและขายก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่จะทำสัญญาไว้ระยะยาวแบบ 6 เดือนกับ 12 เดือน

ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายการผลิตและขายเทียบเท่าปิโตรเลียมไว้ที่เฉลี่ย 3-3.10 แสนบาร์เรล/วัน โดยช่วงไตรมาส 2 ปีนี้คาดว่าจะมีการผลิตและขายเทียบเท่าปิโตรเลียมไว้ที่เฉลี่ย 3 แสนบาร์เรล/วัน ตั้งเป้าหมายลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยในปีนี้ลดลงเหลือที่ 29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปี 2559 ที่ 32 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และตั้งเป้าอัตรากำไรก่อนภาษี ค่าเสื่อม และดอกเบี้ยจ่าย (อีบิตดามาร์จิ้น) ไว้ที่ 70%