posttoday

หุ้นเอี่ยวลงทุนรัฐ-ปันผลสูง อสังหาฯ-อาหาร-สื่อสารแรงสุด

27 กันยายน 2558

กลุ่มที่มาแรงที่สุดอันดับแรก เป็นที่จับจ้องของนักลงทุนตอนนี้ไปจนถึงปี 2560 คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

โดย...เจียรนัย อุตะมะ

ผลสำรวจโบรกเกอร์ทั้งในและนอกประเทศ สำหรับแนวโน้มหุ้นที่น่าลงทุนปีหน้าเป็นต้นไปคือ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ส่งออกอาหาร โรงไฟฟ้า และสื่อสาร มาแรง

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย กลุ่มที่มาแรงที่สุดอันดับแรก เป็นที่จับจ้องของนักลงทุนตอนนี้ไปจนถึงปี 2560 คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะได้รับผลดีจากโครงการสาธารณูปโภคที่ทยอยออกมาเปิดประมูลอย่างต่อเนื่อง รองลงมาคือ กลุ่มส่งออกอาหาร อันดับสามโรงไฟฟ้าที่ปลอดภัยจากเศรษฐกิจเลวร้ายและปันผลสูง และกลุ่มสื่อสารปันผลสูง

อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า รัฐบาลได้เร่งเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พิจารณาโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ 5 แห่ง มูลค่า 2 แสนล้านบาท ภายในสิ้นปี 2558 ซึ่งโครงการประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สีเหลือง สีน้ำเงินส่วนต่อขยาย และโรงไฟฟ้าขยะ 2 แห่ง ที่จะมีผลดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ โดยสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนกับรัฐ (พีพีพี) ในสัดส่วนมากกว่า 17% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งขณะนี้ตัวเลขอยู่ที่ราว 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อรักษาวินัยทางการคลังของรัฐบาลไม่ให้ก่อหนี้สินมากเกินไป (เพดานก่อหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 60% ของอัตราเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 40%

ล่าสุด บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ได้งานใหม่ 1,600 ล้านบาท เป็นงานก่อสร้างสำนักงบประมาณ และคาดว่าจะได้รับงานใหม่เข้ามาอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเริ่มเห็นความคึกคักในงานประมูลต่างๆ มากขึ้น ยังผลให้กลุ่มนี้จะมีเรื่องราวทางบวกเข้ามาหนุนเป็นระยะๆ

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ยังชื่นชอบกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนไปเรื่อยๆ ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ทั้งจากโครงการลงทุนภาครัฐและการขยายธุรกิจของภาคเอกชน ทำให้กำไรจากธุรกิจหลักของกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตได้ดีขึ้น หลายบริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มแล้ว เช่น บริษัท ช.การช่าง (CK) ซึ่งทำให้ความสามารถในการทำกำไรบริษัทดีขึ้น

หุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มนี้เป็น CK, บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) ส่วนผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นบริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ส่วนผู้รับเหมาก่อสร้างโครงสร้างเหล็กเป็นบริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) และบริษัท ทีทีซีแอล (TTCL)

นอกจากนั้น ยังแนะนำซื้อบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) โดยให้ราคาพื้นฐาน 580 บาท ทั้งนี้คาดว่าธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในประเทศจะเติบโตดีขึ้นในปี 2559 หลังโครงการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนเดินหน้ามากขึ้น

นอกจากนั้น บริษัทยังมีโรงงานซีเมนต์ในต่างประเทศที่จะเปิดดำเนินการเพิ่มด้วย ซึ่งส่วนนี้จะช่วยให้ปริมาณขายซีเมนต์ในปี 2559-2560 เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ส่วนธุรกิจปิโตรเคมียังมีส่วนต่างราคาวัตถุดิบกับราคาขาย (สเปรด) ที่ดี แม้ว่าในครึ่งปีหลังจะอ่อนลงจากครึ่งปีแรกก็ตาม

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ภัทร กล่าวว่า สำหรับหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าสนใจ โดย บล.ภัทร ชื่นชอบหุ้น UNIQ ที่เป็นหุ้นขนาดกลางที่มีงานในมือสูงมาก ถึงขนาดที่ว่าถึงปีหน้าถ้าไม่มีงานเพิ่มเข้ามาก็อยู่ได้ นอกจากนั้นยังมีหุ้นที่จะได้ดีจากโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐคือ วัสดุก่อสร้าง รวมถึงหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) บริษัท ศุภาลัย (SPALI) บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) ที่จะได้ดีจากการขายคอนโดมิเนียมราคาถูก และแนวโน้มดอกเบี้ยเมืองไทยยังต่ำจากนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย

“หุ้นอสังหาฯ ราคาลดลงมาก จากกำลังซื้อปัจจุบันที่ลดต่ำลงตามภาวะเศรษฐกิจ ในขณะที่หุ้นเหล่านี้มีอนาคตปัจจัยพื้นฐานดี”

นับตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลงถึง 10% แย่กว่าดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง 8.4% เป็นเพราะภาคอสังหาริมทรัพย์มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศค่อนข้างมาก เมื่อมุมมองต่อเศรษฐกิจไม่สดใส (สะท้อนจากการปรับลดเป้าหมายจีดีพีไทยอย่างต่อเนื่อง) ทำให้เกิดแรงขายหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก โดยหุ้นอสังหาริมทรัพย์หลายบริษัทปรับตัวลดลงกว่า 30% เทียบกับจุดสูงสุดช่วงปลายปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หุ้นอสังหาริมทรัพย์กลับให้ผลตอบแทนชนะดัชนีบนความคาดหวังต่อนโยบายภาครัฐที่จะเข้ามาเกื้อหนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และมูลค่าที่ค่อนข้างถูกของหุ้นกลุ่มนี้

ด้านนโยบายจากภาครัฐ รมว.คลัง ภายใน 2 สัปดาห์นี้ จะมีข้อสรุปเรื่องมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้น

นักวิเคราะห์ บล.เคเคเทรด คาดว่ามาตรการใหม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อให้การพิจารณาปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเป็นไปด้วยความคล่องตัวมากขึ้น โดยคาดว่าผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนลูกค้าในระดับกลาง-ล่าง มากกว่า 50% คือ PS และบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) จะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้โดยตรง

สำหรับมูลค่าหุ้นหลังผ่านการปรับฐานครั้งใหญ่ ขณะนี้ค่าเฉลี่ยสัดส่วนราคาต่อกำไร (พีอี) ของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในการวิเคราะห์ของเคเคเทรดต่ำเพียง 9.2 เท่า เทียบกับพีอีของตลาดหุ้นที่ 15 เท่า

บล.เคเคเทรด มองว่าหุ้นที่น่าสนใจด้านมูลค่า ได้แก่ SPALI ที่พีอี 6.9 เท่า, อัตราผลตอบแทนปันผล 5.6% บริษัท แสนสิริ (SIRI) พีอี 7.6 เท่า, อัตราผลตอบแทนปันผล 6.6% บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) (AP) พีอี 6.7 เท่า อัตราผลตอบแทนปันผล 5.2%

สำหรับบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) บล.เคเคเทรด แนะนำซื้อลงทุนระยะยาว แม้คาดว่ากำไรปีนี้ลดลง 18% จากปีก่อน แต่เชื่อว่าผลประกอบการน่าจะมีทิศทางดีขึ้นตามลำดับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2558 ซึ่งน่าจะได้เห็นการเติบโตโดดเด่นของผลประกอบการ เนื่องจากการเริ่มโอนโครงการคอนโดมิเนียม และการบันทึกกำไรจากสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีทส์) ของ Terminal 21 (LHSC) และคาดปีหน้ากำไรของ LH จะกลับมาเติบโต

นอกจากนั้น “พิพัฒน์” ยังแนะนำให้ซื้อหุ้นปันผลสูงอย่างกลุ่มสื่อสาร แต่ยังเสี่ยงต่อคดีฟ้องร้องเรื่องสัมปทานสำหรับหุ้นบางบริษัท หุ้นโรงไฟฟ้าที่ปลอดภัยจากเศรษฐกิจ เพราะมีกำไรสม่ำเสมอ

สำหรับหุ้นที่มีอนาคตอีกกลุ่มคือ กลุ่มส่งออกอาหาร เพราะได้ดีจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว และยังมียอดขายที่ดีไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร

พิพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับหุ้นกลุ่มการแพทย์แม้ว่าจะมีปัจจัยพื้นฐานดีในลักษณะเดียวกับกลุ่มอาหาร คือไม่ว่าเศรษฐกิจจะชะลออย่างไร ผลประกอบการจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ราคาหุ้นไม่ถูกมาก ราคาได้สะท้อนพื้นฐานไปมากแล้ว

นอกจากนั้น แนะนำซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ปันผลสูง นับว่าเป็นหุ้นที่ปลอดภัยในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม ถ้าให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก บล.ภัทร ยังให้น้ำหนักตลาดหุ้นไทยน้อยกว่าการลงทุน โดยให้เน้นลงทุนในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป

“หุ้นไทยยังจัดเป็นหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีน และมีความเสี่ยงจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีนโยบายขึ้นดอกเบี้ยที่จะทำให้เงินไหลกลับ โดยให้น้ำหนักลงทุนประเทศพัฒนาแล้วมากกว่า”