posttoday

หุ้น เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เปิดช่วงราคาเสนอขาย25–28บาทต่อหุ้น

02 ธันวาคม 2563

หุ้น เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เปิดช่วงราคาเสนอขาย25– 28บาทต่อหุ้น ระดมทุน 7-8 พันล้านบาท ขยายธุรกิจ

บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ KEX ได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์จากสำนักงาน ก.ล.ต. และแบบ Filing มีผลใช้บังคับเมื่อ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา พร้อมเปิดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น ที่ 25.00 -28.00 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 8, 9 และ 14 ธ.ค. นี้ ที่ราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น ก่อนจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย 15 ธ.ค. นี้

ส่วนนักลงทุนสถาบันจองซื้อ 16 - 18 ธ.ค. นี้ คาดเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ปลายเดือนธ.ค. นี้ โดยจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายทั้งหมดคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมประมาณ 7,500 – 8,400 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ขยายธุรกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยจากการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันที่ผ่านมา KEX ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและมียอดจองซื้อจากนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) มากกว่า 10 เท่าของจำนวนที่จัดสรรไว้ ซึ่งทำให้ KEX เป็นบริษัทจัดส่งพัสดุด่วนรายแรกในไทยที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจที่เป็นตัวแปรสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยอีกด้วย

“เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกันในทุกภาคส่วน เรามีความภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้เปิดโอกาสให้คนไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Kerry Express ในฐานะผู้ถือหุ้น” นายอเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX กล่าว “การเติบโตของเศรษฐกิจใหม่โดยเฉพาะโซเชียลคอมเมิร์ซและอีคอมเมิร์ซสร้างปรากฎการณ์การเติบโตอย่างมหาศาลให้กับภาคโลจิสติกส์ เพราะถือเป็นแพลตฟอร์มสุดท้ายที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ขายกับผู้บริโภค ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนจากปริมาณรวมของพัสดุที่จัดส่งประจำปีของบริษัทฯ มีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปี 2562 เท่ากับร้อยละ 134.9 ซึ่งทำให้เห็นว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เคอรี่ เอ็กซ์เพรส จึงพร้อมรองรับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ ด้วยเครือข่ายจุดให้บริการที่ครอบคลุม กว่า 15,000 จุด ศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง และพนักงานมากกว่า 18,000 คน เรายังคงมุ่งมั่นขยายการบริการให้ครอบคลุมถึงคนไทยทั่วประเทศตามกลยุทธ์ “Kerry Express Everywhere” ซึ่งตลอดมา เคอรี่ เอ็กซ์เพรส มุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพและมาตรฐานการบริการเพื่อตอกย้ำจุดยืนความเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล”

นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) มีผลใช้บังคับแล้ว โดยได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น ที่ 25.00 – 28.00 บาทต่อหุ้น จากนั้นจะสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้น IPO ของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ซึ่งคาดว่าจะประกาศให้ทราบประมาณวันที่ 15 ธ.ค. 2563 โดยจะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 8, 9 และ 14 ธ.ค. นี้ ที่ราคา 28.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น อย่างไรก็ตามหากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาจองซื้อ จะมีการคืนเงินค่าส่วนต่างแก่ผู้จองซื้อทุกรายหลังสิ้นสุดการเสนอขาย ส่วนนักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ 16 - 18 ธ.ค. นี้ ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย และคาดว่าจะนำ KEX เข้าซื้อขายหลักทรัพย์ได้ในปลายเดือนธ.ค. นี้

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า มีความมั่นใจกับการเสนอขายหุ้น IPO ของ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) เนื่องจากเป็นผู้นำธุรกิจให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในประเทศไทยที่มีแบรนด์แข็งแกร่งเป็นที่รู้จักและยอมรับจากผู้ใช้บริการ รวมถึงมีรูปแบบธุรกิจที่มั่นคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดยังได้รับการตอบรับอย่างท้วมท้นจากกลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) สูงถึงประมาณ 10 เท่า ของจำนวนที่จัดสรร แสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสเติบโตในอนาคต