posttoday

ผลสำรวจดัชนีหุ้นเดือนมิ.ย.ทรงตัว

02 มิถุนายน 2563

นักลงทุนหุ้นคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และนโยบายภาครัฐ กังวลผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ไม่ดี

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนมิ.ย. 2563 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเหมือนเดือนก่อน นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายภาครัฐและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสสอง รวมถึงการคลี่คลายของสถานการณ์โรคระบาดและการค้นพบวัคซีนป้องกัน COVID-19 อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงความกังวลหาก COVID-19 เกิดการแพร่ระบาดรอบสอง

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนพฤษภาคม 2563 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (สิงหาคม 2563) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 80 - 119) โดยเพิ่มขึ้น 21% มาอยู่ที่ระดับ 96.93

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนรายบุคคล กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)

ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ปรับตัวลงมาอยู่ใน Zone ซบเซา (Bearish)

หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD)

หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)

ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ

ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

ผลสำรวจ ณ เดือนพ.ค. 2563 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ทุกกลุ่มปรับตัวขึ้นแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว ยกเว้นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงอยู่ในเกณฑ์ซบเซา

ในช่วงเดือนพ.ค. SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน จากปัจจัยในประเทศที่ครม. เห็นชอบกรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของไวรัสคลี่คลาย วงเงิน 400,000 ล้านบาท และปัจจัยนอกประเทศจากการประกาศมาตรการ QE ทั้งในอเมริกาและยุโรป ซึ่งส่งผลให้เงินลงทุนไหลเข้า Emerging market มากขึ้น โดยช่วงครึ่งเดือนแรกดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1,257 – 1,299 จุด จากนั้นดัชนีปรับตัวในทิศทางที่เพิ่มขึ้นหลังจากมีการผ่อนคลาย Lockdown ซึ่งช่วยหนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจ โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 SET index ปิดที่ 1,342.85

ทิศทางการลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายภาครัฐและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสสอง รวมถึงการคลี่คลายของสถานการณ์โรคระบาดและการค้นพบวัคซีนป้องกัน COVID-19 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงความกังวลหาก COVID-19 เกิดการแพร่ระบาดรอบสอง

สำหรับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม ได้แก่ การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ การควบคุมการระบาดของโควิดในช่วงการผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้า ผลของมาตรการการเงินการคลัง และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนมิถุนายน 2563ผลจากดัชนีสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดว่า กนง. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุม เดือนมิถุนายนนี้ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และอายุ 10 ปีมีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงในอีก 11 สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจาก กนง. เพิ่งปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งก่อนและน่าจะมีการประเมินสภาพเศรษฐกิจหลังการผ่อนปรนมาตรการ Lockdown อย่างไรก็ตามอัตราผลตอบแทนอาจปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจากการออกพันธบัตรของภาครัฐเพื่อใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนมิ.ย. 2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

- ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนพ.ค. นี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 43 สูงขึ้นจากครั้งที่แล้วมาอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” สะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าการประชุม กนง. ในเดือนมิ.ย.นี้ กนง. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% จากปัจจัยหลักคืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มติดลบ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกที่ลดลง และ การไหลออกสุทธิของกระแสเงินลงทุนต่างชาติ

- ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปีและ 10 ปี ในรอบการประชุม กนง. สิงหาคม 2563 (ประมาณ 11 สัปดาห์ข้างหน้า) ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” สะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปี และ 10 ปีน่าจะยังทรงตัวใกกล้เคียงระดับ 0.76% และ 1.17% ตามลำดับ ณ วันที่ทำการสำรวจ (21 พ.ค. 63) โดยปัจจัยที่มีผลได้แก่ อุปสงค์ในตลาดตราสารหนี้เแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว และอุปทานของพันธบัตรรัฐบาลที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากการออกพันธบัตรเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ