posttoday

หุ้นไทยบวก27.67จุด รับผลิตวัคซีนโควิด

19 พฤษภาคม 2563

ตลาดหุ้นไทยบวกแรง 27.67 จุด รับข่าวผลิตวัคซีนโควิดได้แล้ว

การซื้อขายหุ้นวันที่ 19 พ.ค. 2563 ปิดตลาดช่วงเช้าดัชนีอยู่ที่ 1,314.20 จุด เพิ่มขึ้น 27.67 จุด หรือ เพิ่มขึ้น 2.15% มูลค่าการซื้อขาย 44,811.32 ล้านบาท โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น ตามดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นกว่า 900 จุด หลังได้ปัจจัยบวกจากข่าวการทดลองวัคซีนต้านโควิดคืบหน้า และประธานเฟดเชื่อมั่นแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฟื้น

หุ้นไทยบวก27.67จุด รับผลิตวัคซีนโควิด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ เปิดเผยว่า จากการรวบรวมผลกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนไตรมาสที่ 1/2563 จำนวน 113 บริษัทพบว่า มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 7.87 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) ที่มองไว้ที่ 1.11 แสนล้านบาท โดยจำนวนนี้มี 45 บริษัทที่มีผลประกอบการดีกว่าคาด, 41 บริษัทที่มีผลประกอบการแย่กว่าคาด และ 27 บริษัทที่มีผลประกอบการตามคาด ทำให้ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมถึงปัจจุบัน นักวิเคราะห์ในตลาดเริ่มปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยทั้งปี 2563 ลงประมาณ 5.2% เหลือ 69.7 บาทต่อหุ้น และปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2564 ลง 3.3% เหลือ 85.6 บาทต่อหุ้น

ส่งผลให้ระดับการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ในแต่ละไตรมาสถูกปรับลงเช่นกัน ทำให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยมีโอกาสการปรับขึ้นของดัชนี (Upside) ที่จำกัด และถึงแม้ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากสิ้นเดือนเมษายน แต่ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยกลับตึงตัวมากขึ้นจากประมาณการกำไรของตลาดที่ถูกปรับลง ส่งผลให้อัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน (12m Fwd. PER) ของหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 16.5 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 16.6 เท่า ซึ่งระดับราคาที่สูงเช่นนี้อาจดูไม่สมเหตุสมผลท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรงและสถานการณ์ไม่แน่นอนในต่างประเทศ ดังนั้น บล.ทิสโก้จึงยังคงมุมมองการลงทุนช่วงนี้แค่เลือกเทรดดิ้งสั้นๆ ในกรอบ 1,270-1,330 จุด โดยใช้กลยุทธ์ลงซื้อ-ขึ้นขาย

อย่างไรก็ตาม บล.ทิสโก้ได้รวบรวมผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาสที่ 1/2563 (ไม่นับรวมตลาด mai) จำนวน 552 บริษัท หรือคิดเป็น 89% ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดที่ 621 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2563) พบว่า มีกำไรสุทธิรวม 1.09 แสนล้านบาท ทรุดตัวแรง 58% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 50% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2562 (QoQ) เนื่องจากถูกกดดันจากผลประกอบการของกลุ่มพลังงาน (ENERG) ที่พลิกขาดทุนสุทธิ 2.05 หมื่นล้านบาท และกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO) ที่ขาดทุนสุทธิ 6.84 พันล้านบาท เนื่องจากมีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันเป็นจำนวนมาก และมีผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาท

ขณะที่กลุ่มเหล็ก (STEEL) และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA) มีผลขาดทุนต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนกลุ่มอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็มีกำไรลดลงมากเช่นกันทั้ง YoY และ QoQ หลักๆ จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลจากการเริ่มแพร่ระบาดของ COVID-19 และบางส่วนจากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชีใหม่ ทั้งนี้ กลุ่มที่มีสัดส่วนกำไรมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ กลุ่มธนาคาร (BANK) มีกำไรสุทธิรวม 5.03 หมื่นล้านบาท, กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มีกำไรสุทธิรวม 1.60 หมื่นล้านบาท, กลุ่มพาณิชย์ (COMM) มีกำไรสุทธิรวม 1.36 หมื่นล้านบาท, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD) มีกำไรสุทธิรวม 1.13 หมื่นล้านบาท และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) มีกำไรสุทธิรวม 1.11 หมื่นล้านบาท

ข่าวล่าสุด

"เสรีพิศุทธ์” พร้อมท้าชิงนายกฯ หากเสรีรวมไทยได้เกิน 25 เก้าอี้