posttoday

โควิดกลับมาระบาดจะส่งผลอย่างไรกับเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2564

29 ธันวาคม 2563

โดย...ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

ไม่ล็อกดาวน์ทั่วประเทศ

การกลับมาระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด จนล่าสุดทางศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 หรือ ศบค. ได้ออกมาตรการเตรียมความพร้อมโดยแบ่งความเข้มงวดในการจัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมออกตามพื้นที่แยกตามจำนวนผู้ติดเชื้อและแนวโน้มในความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ได้ เช่น จำกัดเวลาเปิด-ปิดสถานประกอบการที่มีความจำเป็น ปิดสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการระบาด ห้ามแรงงานต่างด้าวเข้าออกพื้นที่ ควบคุมการเข้า-ออกของยานพาหนะ และบุคคลไทย โดยมิให้กระทบต่อการค้าและอุตสาหกรรมมากเกินความจำเป็น จำกัดกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก และให้คนทำงานที่บ้านและใช้การเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ ทั้งนี้ ทางผู้ว่าราชการในแต่ละจังหวัดจะเป็นผู้กำหนดความเข้มข้นของมาตรการต่างๆ

เศรษฐกิจไตรมาสแรกเสี่ยงหดตัวแรงกว่าคาด

แม้การระบาดรอบใหม่ในไทยจะส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น มากกว่าในเดือนมีนาคมที่นำไปสู่การล็อกดาวน์ทั่วประเทศ แต่มาตรการเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดรอบนี้ไม่น่าจะส่งผลเชิงลบกับเศรษฐกิจมากเท่าที่เห็นในช่วงไตรมาสสอง เนื่องจากทางราชการยังอนุญาตให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ดำเนินต่อไปได้ แม้อาจต้องจำกัดจำนวนคนเพื่อรักษาระยะห่าง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ใช้บริการและรายได้ของธุรกิจลดลงไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ธุรกิจส่วนใหญ่เดินหน้าต่อได้ ไม่เกิดการปิดกิจการ เลิกจ้าง ซึ่งอาจส่งผลให้รายได้ครัวเรือนลดลงจนกระทบการใช้จ่ายของคนทั่วไปได้ โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยที่คนอาจชะลอการตัดสินใจซื้อ หรือแม้แต่อาหาร เครื่องดื่มที่คนอาจลดการรับประทานเมื่อใช้เวลาในบ้านมากขึ้น

ทั้งนี้ เรามองว่า การใช้จ่ายของคนในประเทศ ไตรมาสแรกปีหน้า อาจกลับมาหดตัวแรงขึ้น หลังส่งสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสาม แต่จะรุนแรงเพียงไรก็ขึ้นกับความเข้มข้นของมาตรการในการจำกัดกิจกรรมต่างๆ อย่างไรก็ดี เรามองว่า รายได้ภาคเกษตรในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า ยังอยู่ในระดับการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากทั้งราคาที่อยู่ในระดับสูง และผลผลิตภาคเกษตรที่น่าจะออกมามากขึ้นหลังพ้นปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงในปีนี้ ในส่วนการลงทุนภาคเอกชนน่าจะยังหดตัวต่อเนื่องในปีหน้า ทั้งจากยอดขายที่ลดลงส่งผลให้เอกชนลดการผลิตสินค้าและน่าจะระบายสต๊อกสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งการที่มีแรงงานต่างด้าวติดเชื้อโควิดเป็นจำนวนมากก็อาจมีผลให้แรงงานขาดแคลนมากขึ้นในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น แรงส่งของเศรษฐกิจในประเทศยังอยู่ที่การใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนภาครัฐ

โดยเรามองว่า รัฐบาลอาจเตรียมความพร้อมในการออกมาตรการชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการต่างๆ เช่นการแจกเงินชดเชยรายได้ที่หายไป หรือการลดรายจ่ายที่จำเป็น เช่นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง อย่างไรก็ดี ภาครัฐอาจกำลังทบทวนผลกระทบจากมาตรการต่างๆ ก่อนว่าสมควรเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงไร เพราะหากยังอนุญาตให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ดำเนินต่อได้ แม้รายได้ลดลง แต่ก็ไม่ใช่การจำกัดทั้งหมดเหมือนรอบแรก จึงอาจไม่ชดเชยเท่าแต่ก่อน นอกจากนี้ ด้วยหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นเร็วอาจทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวังไม่ก่อหนี้มากเกินไป แต่ในประเด็นหนี้สาธารณะชนเพดานนี้ เราคิดว่าอาจไม่ใช่อุปสรรคสำคัญ เพราะหากเป็นการก่อหนี้เพื่อฟื้นฟูประเทศและป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจทรุดหนัก พร้อมมีมาตรการหารายได้มาเพิ่มเติมในอนาคต การก่อหนี้ก็มีความจำเป็นและไม่น่ากระทบกับอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ

ความท้าทายเศรษฐกิจอยู่ที่ภาคการส่งออก

แม้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศอาจสะดุดจากการกลับมาระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ปัจจัยในประเทศน่าจะควบคุมได้ และมีมาตรการทั้งการเงินและการคลังในการประคองเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยที่ยากต่อการควบคุมคืออุปสงค์ต่างประเทศที่กระทบภาคการส่งออกของไทยที่มีสัดส่วนสูงกว่า 60% ของ GDP ซึ่งการระบาดของโควิดรอบใหม่นี้ไม่ใช่เกิดที่ประเทศไทยเพียงที่เดียว แต่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศจนต้องงดจัดงานคริสมาสต์และปีใหม่ และอาจลากยาวไปช่วงฤดูหนาวนี้ จนอาจทำให้ภาคการส่งออกที่กำลังฟื้นตัวกลับมาหดตัวมากขึ้น อย่างไรก็ดี การที่หลายประเทศได้ออกมาตรการทางการคลังอย่างเร่งด่วนในการลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ น่าจะช่วยประคองอุปสงค์ต่างประเทศ และน่าจะสนับสนุนการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และสินค้าเกษตรตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในการทำงานที่บ้าน แต่กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนอาจได้รับผลกระทบบ้าง

นอกจากนี้ ปัจจัยชี้วัดการส่งออกของไทยในไตรมาสแรกปีหน้าที่สำคัญอีกประการคือราคาน้ำมัน เนื่องจากสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ภาคเกษตรมีราคาที่ผันผวนตามราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันทรงตัวต่อเนื่องจากช่วงปลายปีนี้ไปถึงไตรมาสแรกปีหน้าได้ ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยพยุงการส่งออกของไทยได้ อีกทั้งหากทางธนาคารแห่งประเทศไทยมีมาตรการช่วยให้เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับต่างประเทศได้ ไม่แข็งค่าเร็วจนเกินไป ก็น่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผู้ส่งออกได้เช่นเดียวกัน

โดยสรุป เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกปีหน้าหลังมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยกลับไปหดตัวเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสะดุดไปบ้าง แต่เนื่องจากมาตรการที่ออกมาไม่ใช่การล็อกดาวน์ทั่วประเทศ และยังมีส่วนสนับสนุนจากการส่งออก และมาตรการทางการคลังของภาครัฐ แต่เราคงต้องรอความชัดเจนของมาตรการควบคุมต่างๆ และความรุนแรงของการระบาดรอบนี้ก่อนปรับการประมาณการทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเกิด double-dip recession และทำให้ GDP ปีหน้าอาจขยายตัวไม่ถึง 3 % ซึ่งน้อยกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้าที่ 4.1%

โควิดกลับมาระบาดจะส่งผลอย่างไรกับเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2564

ดร.อมรเทพ? เปิดเผยว่า? กนง.มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี พร้อมปรับเพิ่มการประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ขึ้นจาก -7.8% เป็น -6.6% จากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกที่ดีขึ้นกว่าคาด แต่ที่น่ากังวลคือการส่งสัญญาณของกนง.ว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวช้ากว่าคาดในปีหน้า โดยกนง.ได้ปรับลดการคาดการณ์จาก 3.6% เป็น 3.2% โดยให้น้ำหนักการล่าช้าในการกลับมาของนักท่องเที่ยว และมองว่าปลายปีหน้าคนไทยราว 20% จะได้รับวัคซีน ซึ่งอาจทำให้เรายังไม่พร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวมากนัก

อย่างไรก็ดี เราตีความว่าทางธปท. ยังไม่ได้ให้น้ำหนักการกลับมาระบาดของโควิด-19 มากนัก เห็นได้จากการที่คาดว่าการบริโภคเอกฃนยังเติบโตได้ดีขึ้นกว่าที่คาดไว้เดิม การส่งออกสินค้าเติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่การส่งออกบริการ หรือการท่องเที่ยวยังเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจไทยได้อยู่ในปีหน้า ซึ่งหากการระบาดรอบนี้ของไทยนำไปสู่การหดตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีหน้าเทียบไตรมาสสี่ปีนี้ หรือ double-dip recession เราอาจเห็นกนง.ออกมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม แต่ที่ยังไม่ทำอะไรในรอบนี้ เพราะธปท.อาจรอมาตรการทางการคลังเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจก่อน ไม่ว่าจะชดเชยรายได้ของผู้ที่ได้รับผลกระทบกรณีมีคำสั่งให้ล็อกดาวน์อย่างไร หรือจะมีมาตรการลดรายจ่ายคนอย่างไร ทางธปท.อาจรอความชัดเจนนี้ก่อนผ่อนคลายมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม และเราเชื่อว่าทางธปท.ยังทำได้ด้วยขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายในปัจจุบัน อีกทั้งกนง.ดูจะห่วงปัญหาบาทแข็งที่อาจกระทบความสามารถในการแข่งขันผู้ส่งออก และปัญหาสภาพคล่องที่แม้มีมากในระบบการเงิน แต่ยังไม่ช่วยเหลือธุรกิจ SME มากนัก

เรามองว่าในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า หากการกลับมาระบาดของโควิดมีผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ทางกนง.อาจมีการประชุมฉุกเฉินเพื่อออกมาตรการเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องรอให้ถึงรอบประชุมปกติรอบหน้า เพื่อบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจและลดความรุนแรงต่อปัญหาการว่างงานและสภาพคล่องในธุรกิจขนาดเล็กและครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

1. ลดดอกเบี้ยที่จัดเก็บเข้ากองทุนฟื้นฟูลง 0.23% เหลือ 0 เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ลดภาระหนี้ให้ลูกค้า

2. ผ่อนคลายเกณฑ์อัดฉีดสภาพคล่อง หรือ soft loan ช่วย SME

3. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 0.25% เพื่อลดผลกระทบการล็อกดาวน์ ลดภาระดอกเบี้ย เพิ่มสภาพคล่อง

4. ขยายมาตรการพักชำระหนี้ครัวเรือนและ SME เพื่อให้ลูกค้ามีเวลาในการปรับโครงสร้างหนี้ และช่วยบรรเทาปัญหาทางการเงินในช่วงที่ขาดรายได้

5. ธปท.เตรียมอัดฉีด QE เข้าระบบเพิ่มเติม และทำมากกว่าการซื้อหุ้นกู้เอกชน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ SME และอาจซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อให้คลังกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ อีกทั้งน่าจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทในปีหน้าได้ด้วย

โดยสรุป นโยบายการเงินยังไม่ถึงทางตัน แต่รอให้คลังเดินหน้าก่อน พร้อมประเมินผลกระทบและความรุนแรงของการระบาดโควิดรอบนี้ แต่ธปท.ยังเหลือเครื่องมือมาพยุงเศรษฐกิจได้อยู่ แต่จะใช้อะไรบ้าง และแค่ไหน มากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมการระบาดในประเทศ แต่เราน่าจะได้เห็นนโยบายเชิงรุกในเร็วๆ นี้