posttoday

ทีมเศรษฐกิจเก้าอี้ดนตรี นักลงทุนหนี ประชาชนสิ้นหวัง

20 กรกฎาคม 2563

การปรับ ครม. รัฐบาลประยุทธ์ 2/2 ยังอลเวงอลหม่าน แย่งชิงกันเป็นเก้าอี้ดนตรี ทำให้ความเชื่อมั่นรัฐบาลแทบจะไม่หลงเหลือให้ใครหวังได้อีกต่อไป

การลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และทีม 4 ยอดกุมาร ที่เป็นเสมือนภาพจำว่า นายสมคิด เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ 4 ยอดกุมาร เป็นดรีมทีมเศรษฐกิจ ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชนหายวูบทันที

ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาบอกว่า การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปรับทีมเศรษฐกิจ เพราะเหตุผลทางการเมือง ยิ่งทำให้รัฐบาลประยุทธ์เสียคะแนนนิยมจากนักลงทุนและประชาชนเพิ่มขึ้นไปอีก

การปรับ ครม. ปรับทีมเศรษฐกิจ เพราะเหตุผลทางการเมือง ตีความได้ไม่ยากคือ นักเลือกตั้ง นักการเมืองอาชีพ ต้องการมาเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่เป็นเพราะว่า ทีมเศรษฐกิจของนายสมคิดบริหารเศรษฐกิจไม่ได้เรื่อง ส่งผลเสียไปยังภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี ที่ทำแต้มจากการแก้ปัญหาโควิดมาดีๆ ต้องมาตกม้าตายจากการรื้อทีมเศรษฐกิจเพราะเหตุผลทางการเมือง

ปัญหาทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมา ต้องบอกว่า นายกรัฐมนตรีไม่สามารถทำหน้าที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สามารถทำให้กระทรวงเศรษฐกิจเดินหน้ากระตุ้นหรือฟื้นฟูเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียว จนเป็นที่มาของคำว่า เศรษฐกิจขาเดียว เพราะมีทีมเศรษฐกิจของนายสมคิด ที่ดูแลกระทรวงเศรษฐกิจบางกระทรวง เดินหน้าแบกเศรษฐกิจอยู่ฝ่ายเดียว

การประชุม ครม. เศรษฐกิจ ที่นายกรัฐมนตรี นั่งเป็นประธาน น่าจะเป็นดรีมทีมเศรษฐกิจรัฐบาลที่จะพาเศรษฐกิจผ่าวิกฤต แต่สุดท้ายกลายเป็น ครม. เศรษฐกิจฝันสลาย ที่ประชุมไม่เป็นชิ้นเป็นอัน รัฐมนตรีเข้าไปชุมบ้างไม่เข้าประชุมบ้าง เพราะห่วงงานเพื่อฐานเสียงของตัวเองและพรรค มากกว่าเศรษฐกิจส่วนร่วมของประเทศ

การลาออกของ นายสมคิด และ 4 ยอดกุมาร ทำให้เกิดสุญญากาศทางเศรษฐกิจทันที เพราะเศรษฐกิจไทยที่เจอพิษโควิด-19 จนล้มทั้งยืนอยู่ตอนนี้ ไม่สามารถเสียเวลาไปได้แม้แต่วันเดียว ในการเดินหน้าแก้ปัญหา ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า การปรับ ครม. และหาทีมเศรษฐกิจใหม่ จะเรียบร้อยในเดือน ส.ค. นี้ นั้นหมายความว่าเศรษฐกิจไทยต้องวังเวงระงมพิษโควิดแบบไร้หางเสียและไม่มีคนทำงานแก้ไขอะไรไปอย่างน้อย 1 เดือน

ที่สำคัญ ไม่มีใครเชื่อว่าทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะดีกว่าดรีมทีมเศรษฐกิจของนายสมคิด ที่ยกขบวนออกไป

การปฏิเสธของ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. และนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ไม่เข้าร่วมรัฐบาลเป็นทีมเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชนกระเจิงไปอีก

แค่ลำพังพิษโควิด-19 นักลงทุนที่ขอจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ปีนี้ก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว จากปีที่ผ่านมี 8 แสนล้านบาท แต่เมื่อทีมเศรษฐกิจใหม่ไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างนี้ การลงทุนจะต้องหายไปอีก

ส่วนนายปรีดี ดาวฉาย นายกสมาคมธนาคารไทย ที่จะมานั่งเป็น รมว.คลัง ก็ถูกตั้งคำถามว่าจะไหวไหม มาคนเดียวโดดๆ ไม่มีตัวช่วย แม้แต่รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจก็ทำท่าจะไม่มีเพราะหาคนมาเป็นไม่ได้ และนายปรีดี จะทำงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจไปเพียงลำพังได้อย่างไร

ขนาดทีมเศรษฐกิจเดิมมี นายสมคิด เป็นรองนายก ทั้งคิดทั้งดันนโยบายและมาตรการต่างๆ ให้ 4 ยอดกุมาร สานต่อให้เกิดผลทางปฏิบัติ อย่างเป็นการบริหารเศรษฐกิจขาเดียว และ นายปรีดี ที่จะมาเป็นรมว.คลัง คนเดียว เห็นที่จะอยู่ในภาวะลำบากไม่มีขาให้เศรษฐกิจได้เดิน

ยังไม่รวม นักการเมืองอาชีพ ที่วิ่งกันขาขวิดจะมานั่งเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่ว่างอยู่ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลที่ครองเก้าอี้กระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ ก็กอดเก้าอี้ไว้แน่นห้ามใครมาแตะ แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็แตะไม่ได้

สภาพการณ์เช่นนี้ได้แต่บอกว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในภาวะนับถอยหลัง ขณะที่เศรษฐกิจไทยก็อยู่ในภาวะที่ไร้ความหวัง ไร้ทิศทาง และไร้คนแก้ปัญหาจริงจัง เพราะคนที่อาสาอยากเป็นรัฐมนตรีส่วนใหญ่หวังผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ

สิ่งที่นักลงทุนและประชาชน ต้องการมากกว่าปรับทีม ครม. หรือ ทีมเศรษฐกิจ คือ รัฐบาลจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจจากพิษโควิดอย่างไร เงินเยียวยาที่จ่ายครบ 3 เดือน แต่เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นจะจ่ายต่อหรือไม่ หรือ ปล่อยให้ประชาชนไปตายดาบหน้า

โครงการลงทุนต่างๆ เช่น อีอีซี ของทีมเศรษฐกิจชุดเก่าจะได้รับการสานต่อหรือไม่ หรือ จะพับทิ้งไม่สนใจ เป็นเรื่องที่นักลงทุนจับตาไม่กระพริบและพร้อมทิ้งไทยไปลงทุนประเทศอื่นทันที

หรือแม้แต่เรื่องงบประมาณ 2564 วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท จะถูกฝ่ายการเมืองต่อรองจนสะดุดหรือไม่ ล้วนเป็นปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจที่นักลงทุนและชาชนให้ความสำคัญทั้งนั้น เพราะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายตัวหนึ่งว่า เศรษฐกิจไทยจะทรงหรือทรุดหนักกว่าเดิม

ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลตอนนี้จึงมีความสำคัญ ที่รอไม่ได้ การหาทีมเศรษฐกิจใหม่ที่เหมือนเป็นการเล่นเก้าอี้ดนตรี นักการเมืองที่จะมานั่งเป็นทีมเศรษฐกิจ มีแต่อ้างว่าเป็นโควต้าของพรรคตัวเอง แต่ไม่ได้บอกว่ามานั่งแล้วจะทำอะไรอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยพ้นจากโควิด-19 ที่ดีกว่าทีมเศรษฐกิจเก่าที่ถูกเขี่ยกระเด็นออกไป

ทีมเศรษฐกิจใหม่จึงเป็นเรื่องน่ากลัวของนักลงทุนที่กำลังเมินไทย และประชาชนที่กำลังสิ้นหวัง ไม่เชื่อมั่นการบริหารเศรษฐกิจของประเทศของรัฐบาลนี้อีกต่อไป

เพราะตอนนี้ พิสูจน์ได้ระดับหนึ่งแล้วว่า การเมืองไทยน่ากลัวกว่าโควิด ไทยแก้ปัญหาชนะโควิดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ก็บริหารเศรษฐกิจแพ้ได้พังราบอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นกัน