posttoday

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด มอง4ปัจจัยกระทบศก.ไทย

16 กรกฎาคม 2563

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด มองปรับทีมเศรษฐกิจ หุ้นกู้เอกชน ดอกเบี้ย ค่าบาท กระทบเศรษฐกิจไทย

ดร.ทิม ลีฬาหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) กล่าวว่า ธนาคารคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายตัวติดลบ 5% แม้ว่าจะต่ำกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าจะขยายตัวติดลบ 8.1% แต่การขยายตัวติดลบ 5% หรือ 8.1% ก็ถือว่าเศรษฐกิจไทยขยายติดลบมากทั้งนั้น

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจ ที่ต้องติดตามได้แก่

1. การเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ จะมีความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจหรือไม่ นโยบายและมาตรการที่จะออกมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะได้รวดเร็วขนาดไหน และจะมีปัญหาทำให้ พ.ร.บ. ประมาณ 2564 ล่าช้า กระทบกับการขยายตัวเศรษฐกิจ หรือไม่

2. ความผันผวนของตลาดเงิน โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของตลาดพันธบัตร ที่ในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมามีความผันผวน จนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกหลายมาตรการมาดูแลทำให้ตลาดนิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลัง มีหุ้นกู้เอกชนครบกำหนดอีก5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นไตรมาส 3 จำนวน 3 แสนล้านบาท และไตรมาส 4 อีก 2 แสนล้านบาท ยังไม่รวมหุ้นกู้ของบริษัทการบินไทย ที่ต้องติดตามว่าจะสามารถรีไฟแนนซ์ได้หรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย หากมีการระบาดรอบ 2 ทำให้ภาพเศรษฐกิจแย่ เอสเอ็มอีมีปัญหาเพิ่ม หนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับ 80% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นไปอีก การว่างงานปิดโรงงานเพิ่ม ก็จะทำให้การรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เอกชนมีปัญหา แม้ว่าจะไม่มีปัญหาหนักเท่าเดือนมี.ค. ก็ตาม

3. ธนาคารคาดว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ยในเดือน ส.ค. นี้ จาก 0.50% เหลือ 0.25% เพราะนโยบายการคลังอาจจะเริ่มอ่อนแรงไม่ต่อเนื่องจากการปรับทีมเศรษฐกิจ ทำให้นโยบายการเงินต้องเข้ามาหลักแทนนโยบายการคลัง ในการพยุงเศรษฐกิจไปก่อน

4. ค่าเงินบาทผันผวน วันนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากอยู่ที่ 31.7 บาทต่อดอลลาร์ เพราะกังวลการระบาดของโคววิดในประเทศรอบใหม่ และการปรับทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล หากสามารถเปิดให้คนต่างชาติเข้ามาเที่ยวในไทยได้ จะส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นตอนสิ้นปีที่ 31 บาทต่อดอลลาร์