posttoday

เศรษฐกิจไทยดิ่งเหว ยาแรงหมดอายุทำทรุดเพิ่ม

06 กุมภาพันธ์ 2563

เศรษฐกิจไทยอยู่ในอาการหนักที่สุดหลังจากวิกฤตการเงินปี 2540 หลังจากเจอทั้งไว้รัสมรณะ งบประมาณสะดุดการเมืองเบิกจ่ายไม่ได้ และภัยแล้งทำรายได้คนทั้งประเทศทรุด

โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% จาก 1.25% เป็น 1.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยอาการแย่มากจนน่าเป็นห่วง

การลดดอกเบี้ยดังกล่าวต่ำที่สุดตั้งแต่มีการใช้นโยบายการเงินเป้าหมายกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อดูแลเศรษฐกิจปี 2543 ที่ดอกเบี้ยนโยบายต่ำสุด 1.25% หรือจะพูดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็ได้ เพราะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็ไม่เคยต่ำเท่านี้มาก่อน

กนง. ให้เหตุผลลดดอกเบี้ยว่า การขยายตัวเศรษฐกิจ 2563 แนวโน้มต่ำกว่าที่ประมาณการไว้เดิม และต่ำกว่าระดับศักยภาพขึ้นมาก จากการระบาดของไวรัสโคโรนา และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ล่าช้า และภัยแล้งมีความรุนแรง โดยก่อนหน้านี้ กนง. คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายตัวได้ 2.8%

นอกจากนี้ นโยบายการคลังที่รัฐบาลออกมาไม่เพียงพอในการพยุงเศรษฐกิจ ดังนั้น กนง. ต้องใช้นโยบายการเงินลดดอกเบี้ยเข้าช่วยพยุงเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงร่วงหล่นจากหน้าผาอย่างรวดเร็ว

การประชุมของ กนง. ยังพบว่า เศรษฐกิจไทยมีแต่ความเสี่ยง นอกจากการระบาดของไวรัสโคโรนา งบประมาณล่าช้า และภัยแล้งทำรายได้ของคนทุกภาคอุตสาหกรรมลดลงแล้ว

ยังพบว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งมาจากความต้องการซื้อลดลง หรือ พูดง่ายๆ ว่าคนไม่อยากซื้อของไม่ว่าจะมีเงิน หรือไม่มีเงินก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีการลดราคาสินค้าลงมา ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่น่ากลัว เพราะจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจเงินฝืดได้ ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงกับเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

นอกจากนี้หนี้ครัวเรือนก็ยังอยู่ในระดับสูงเป็นระเบิดเวลาของเศรษฐกิจไทย หนี้ของสถาบันการเงินของไทยก็เพิ่มสูงเป็นภัยร้ายของเศรษฐกิจไทยเหมือนวิกฤตปี 2540 ค่าเงินบาทไทยยังแข็งกว่าคู่แข็งและไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทย การเก็งกำไรในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ล้วนแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยทั้งนั้น

ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจการประชุมของ กนง. ที่ผ่านมา ไม่มีปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจให้เป็นความหวังในปีนี้เลย ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจกำลังวิ่งเข้าสู่วิกฤต ถึงแม้จะไม่รุนแรงเท่ากับปี 2540 ก็ตาม

ขณะที่สำนักงานวิจัยทางเศรษฐกิจของธนาคารพาณิชย์ก็ประสานเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจไทยมีแย่กับแย่ เรียงแถวปรับลดจีดีพีกันถ้วนหน้า สาเหตุก็ไม่ต่างอะไรกับที่ กนง. อธิบายมาทั้งหมด

เริ่มตั้งแต่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (อีไอซี) ได้ปรับลดประการเศรษฐกิจไทยปี 2563 จาก 2.7% เหลือ 2.1% เพราะเศรษฐกิจไทยได้รับกระทบรุนแรงจากการระบาดของของไวรัสโคโรนากระทบการท่องเที่ยว การส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวติดลบ 1% และความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 กระทบการลงทุนภรครัฐ จะทำให้จีดีพีหายไป 0.1%

ด้าน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี มองว่า วิกฤติไวรัสส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและส่งออกไทยเสียหาย 1.5 แสนล้านบาท ความล่าช้าของงบประมาณปี 2563 ฉุดการลงทุนภาครัฐ และภัยแล้งที่เกิดขึ้นเร็วและรุนแรงสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ 6 หมื่นล้านบาท ส่วนมาตรการพยุงเศรษฐกิจ ชดเชยผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงได้ราว 0.2%

สำหรับ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ปรับจีดีพี 2563 เหลือ 2.3% คาดครึ่งปีแรกโตไม่ถึง 2% และคาดว่า ธปท. ต้องลดดอกเบี้ยอีก 0.50% ถึงจะดึงเศรษฐกิจขึ้นจากปากเหวได้

สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มองว่า ปัจจัยสนับสนุน 3 ด้าน จากการย้ายฐานการลงทุน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และการท่องเที่ยว ที่น่าจะเป็นพระเอกช่วยเศรษฐกิจไทย แต่ผ่านปีใหม่ไปได้เดือนเดียว พระเอกดังกล่าวกลายเป็นผู้ร้ายรุมยำเศรษฐกิจอย่างหนัก กลายเป็นความเสี่ยงเศรษฐกิจ ต่างชาติชะลอลงทุน งบประมาณมีความล่าช้าไม่ผ่านสภาฯ ซึ่งมีผลให้การเบิกจ่ายลดลง การลงทุนภาครัฐอาจติดลบ อีกทั้งเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาในจีนและมีผู้ติดเชื้อหลายประเทศรวมทั้งไทยมีผลกระทบให้จำนวนนักท่องเที่ยวมีโอกาสติดลบยาวในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกจึงมีความเสี่ยงสูงขยายตัวต่ำกว่า 2%

แม้แต่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ก็ถอดใจปรับลดจีดีพีปีนี้เหลือ 2.0-2.5% (จากเดิม 2.5-3.0%) โดย กกร. เป็นห่วงเศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยลบ ขาดแรงขับเคลื่อน พิษไวรัสโคโรนาฉุดท่องเที่ยวหายไป 2.2 แสนล้าน ขณะที่งบประมาณล่าช้า ปัญหาภัยแล้ง กระทบกำลังซื้อกลุ่มฐานราก

ขณะที่ด้านตลาดหุ้นก็เป็นห่วงเศรษฐกิจไทยไม่น้อยไปกว่าใคร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.พ. ยังมีความผันผวนสูงตามความไม่แน่นอนของร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 และสถานการณ์ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยมีสมมติฐานให้รายได้จากการท่องเที่ยวในไตรมาส 1/2563 หายไปประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งจะคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 1.6-1.7 แสนล้านบาท หรือจะทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีของไทยปีนี้หายไปราว 1% หรือเติบโตเพียง 1.6% ซึ่งเป็นการเติบโตของ ที่ต่ำกว่าระดับ 2% ครั้งแรกในรอบ 5 ปี

ส่วนผลกระทบครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลต่อมูลค่าตลาดรวมหุ้นไทยลดลงประมาณ 1.07-1.14 ล้านล้านบาท หรือเทียบเท่าดัชนีหุ้นไทยที่ประมาณ 100 จุด จึงประเมินว่าไตรมาสที่ 1 หุ้นไทยมีโอกาสปรับลดลงมาอยู่ที่ 1,480 จุด

จากข้อมูลจาก ธปท. สำนักวิจัยเศรษฐกิจของธนาคารพาณิชย์ ภาคเอกชน และตลาดหุ้น จะเห็นว่า เศรษฐกิจไทยอาการหนักสาหัส เป็นงานหินงานเหนื่อยของรัฐบาลที่จะปั๊มกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้หยุดหายใจ และพ้นจากโคม่าให้ได้ ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะวิ่งเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจได้ไม่ยาก

ต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านมารัฐบาลยืนยันว่าเศรษฐกิจปีนี้่จะโตได้กว่าปีที่ผ่านมา แต่เวลาผ่านมาเดือนเดียวเห็นภาพแล้วเศรษฐกิจปีนี้โตได้ได้น้อยกว่าที่ผ่านมาแน่นอน และเป็นการขยายตัวชะลอ 2 ปีติด ในอัตราที่น่าเป็นห่วงที่อาจจะไม่ถึง 2% ซึ่งเวลาที่เหลืออีก 11 เดือน ความเสี่ยงที่รุมเร้าเข้ามาจนตั้งรับไม่ทันยังทำให้เศรษฐกิจทรุดได้มากกว่านี้ยังไม่ต้องสงสัย

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ หุ้นเทคโนโลยีอ่อนตัวก่อนเทศกาลปีใหม่