posttoday

งบประมาณ 2563 สะดุดยาวผวาล่ม ทำเศรษฐกิจพัง

23 มกราคม 2563

งบประมาณ 2563 ทำท่าสะดุดยาวหลังจากถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ กรณีเรื่องไม่เป็นเรื่องกดบัตรแทนกัน ทำให้นักลงทุนหวาดผวาจะมีปัญหาถึงขั้นกฎหมายล้มทำเศรษฐกิจพัง

งบประมาณ 2563 ทำท่าสะดุดยาวหลังจากถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ กรณีเรื่องไม่เป็นเรื่องกดบัตรแทนกัน ทำให้นักลงทุนหวาดผวาจะมีปัญหาถึงขั้นกฎหมายล้มทำเศรษฐกิจพัง

.....................................

โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท กลายเป็นประเด็นร้อนสุดขีดสำหรับเศรษฐกิจไทย หลังจากมีปัญหาถูกส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ามีการกดบัตรแทนกัน ทำให้งบประมาณ 2563 เป็นโมฆะหรือไม่

ลำพังไม่มีปัญหาดังกล่าว งบประมาณ 2563 ก็ล่าช้ากว่ากำหนดที่ควรจะเป็นมานานหลายเดือนแล้ว

ตามหลักการ งบประมาณ 2563 จะต้องเริ่มใช้ 1 ต.ค. 2562 ซึ่งรัฐบาลขณะนั้นสามารถที่จะพิจารณาให้งบประมาณออกมาใช้ได้ตามกำหนด แต่ก็ไม่ยอมทำ เพราะมีการเลือกตั้งใหม่จึงชะลอการพิารณางบประมาณ 2563 เพื่อให้พรรคการเมืองที่เข้ามาร่วมรัฐบาลได้มีส่วนร่วมในการจัดสรรด้วย

ซึ่งจะว่าไปแล้วต้นตอของงบประมาณ 2563 ล่าช้า เริ่มต้นก็มาจากรัฐบาลทำตัวเอง ทำได้ตั้งแต่ที่เป็นรัฐบาลก่อนหน้าแต่ไม่ยอมทำ เพราะมีปัญหาต่อรองทางการเมืองของการตั้งรัฐบาลใหม่

เมื่อมีการเลือกตั้งปลายปี 2562 ที่ผ่านมา การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้ากว่าที่คาด ทำให้การพิจารณางบประมาณ 2563 ถูกลากออกไปด้วย จากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ 1 ม.ค. 2563 มาถึงวันนี้หากไม่มีปัญหาเรื่องถูกศาลรัฐธรรมนูญตีความ คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในเดือน ก.พ. 2563 ซึ่งเท่ากับว่าการใช้งบประมาณล่าช้ามากกว่า 4 เดือน

แต่เมื่อมีเรื่องถูกส่งให้ศาลตีความ ทำให้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่างบประมาณจะ 2563 จะได้เริ่มใช้เมื่อไร และจะได้ใช้หรือไม่ หากศาลตีความว่าการกดบัตรแทนกันทำให้งบประมาณเป็นโมฆะ ก็จะเป็นระเบิดเทลงใส่เศรษฐกิจทันที

ปัญหางบประมาณ 2563 ล่าช้า อยู่ที่งบงบลงทุนประมาณ 6 แสนล้านบาท ไม่สามารถเบิกจ่ายใช้ได้ เพราะตามกฎหมายให้เบิกจ่ายได้แต่งบประจำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินเดือนข้าราชการตามงบประมาณเก่าไปพลางก่อนเท่านั้น

จากปัญหาดังกล่าว จะเห็นว่า ความล่าช้าของงบประมาณ 2563 ฉุดเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2562 เพราะไม่สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนใหม่ที่อยู่ในงบประมาณปี 2563 เพื่อเร่งเศรษฐกิจในโค้งสุดท้ายปี 2562 ได้ ทำให้เศรษฐกิจปีที่ผ่านมาทรุดลงต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 2.5% เท่านั้น

สำหรับเศรษฐกิจปึ 2563 ทุกสำนักเศรษฐกิจทั้งของรัฐและเอกชนประเมินว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ไม่ถึง 3% ส่วนใหญ่ให้ขยายตัวได้ 2.8% ภายใต้พื้นฐานว่าการเบิกจ่ายงบประมาณ 2563 จะเริ่มได้อย่างช้าภายในเดือน ก.พ. นี้

แต่เมื่องบประมาณมาสะดุดไม่รู้อนาคตเช่นนี้ ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2563 สิ้นหวังไปด้วย

แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ยอมรับว่า กังวล ที่งบประมาณ 2563 ไม่รู้กำหนด โดยหารือกับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายหา ให้หาทางออกทางแก้ไว้รองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา

นอกจากนี้ ยังได้ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ เตรียมมาตรการที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจ เพราะงบล่าช้าทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนหลายแสนล้านบาท ทำไม่ได้ตามกำหนดืที่วางไว้

ซึ่งถึงตอนนี้ มีการเตรียมการไว้ถึงขั้นเลวร้ายสุดๆ ว่าต้องมีการออก พ.ร.ก. กู้เงินมาลงทุนในโครงการที่อยู่ในงบประมาณ 2563 ไปพลางก่อน ระหว่างที่งบประมาณ 2563 ไม่ผ่าน เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่นายกรัฐมนตรียังบอกปัดประเด็นดังกล่าวว่ายังไม่ถึงเวลา เพราะกลัวสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น รัฐบาลจึงทำได้แต่รอเวลาเท่านั้น โดยหวังว่าให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความให้ไว และออกมาในทางที่ดี ให้งบประมาณ 2563 เดินหน้าใช้ต่อได้ เพราะช้าอีกหน่อยดีกว่าใช้ไม่ได้เลย เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจเหลือแต่งบประมาณตัวเดียวที่ภาคเอกชนคาดหวังว่าจะทำให้ให้เศรษฐกิจฟื้นจากอาการป่วยหนักปีที่ผ่านมา

เนื่องจากตอนนี้ เครื่องยนต์ขับเคลื่อนอื่นๆ ดับนิ่งหมด ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและค่าเงินบาทแข็งขยายตัวติดลบ การบริโภคไม่ขยายตัวมากแม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรารกระตุ้นการใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ส่วนการท่องเที่ยวก็มีปัญหาจากปัญหาโรคระบาดและปัญหาฝุ่นทำให้นักท่องเที่ยวลดลง

ส่วนการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวติดลบมาหลายปี ก็รอความหวังจากการลงทุนของโครงการรัฐบาลเพื่อลงทุนตาม แต่เมื่องบประมาณ 2563 สะดุดการลงทุนรัฐเดินหน้าไม่ได้ เอกชนก็ไม่ลงทุนเพิ่ม ยอมกระทบกับเศรษฐกิจไทยปีนี้สาหัสกว่าปีที่ผ่านมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะรัฐบาลทำตัวเองจนเข้าตาจนหาทางหนีไม่ได้หาทางออกไม่เจอ