posttoday

สแตนดาร์ดฯคาดธปท.ลดดอกเบี้ยเหลือ1%กระตุ้นศก.

22 มกราคม 2563

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดเศรษฐกิจไทยปี 63 ยังฟื้นตัวช้า เสี่ยงสูงโตได้ต่ำกว่า 3%

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดเศรษฐกิจไทยปี 63 ยังฟื้นตัวช้า เสี่ยงสูงโตได้ต่ำกว่า 3%

ดร. ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2562 จะขยายตัวได้ 2.5% และปีนี้ขยายตัวได้ 3% แต่มีความเสี่ยงสูงที่ขยายตัวได้ต่ำกว่า 3% อยู่มาก เนื่องจากแรงส่งทางเศรษฐกิจจากปีที่ผ่านมาน้อย และเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชะลอตัวหมด ทั้งการบริโภคโตได้ช้าแม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การลงทุนของไทยที่ผ่านมาติดลบ รวมถึงการส่งออกปีที่ผ่านมาติดลบถึง 3% ซึ่งน่าเป็นห่วงเพราะมาจากผลกระทบสงครามการค้าและค่าเงินบาทของไทยที่แข็งขึ้นมาก ขณะเดียวกันการนำเข้าก็ขยายตัวติดลบแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศลดลง

สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณ 2563 ธนาคารคาดว่าจะเริ่มเบิกได้ในเดือน ก.พ. นี้ ไม่ควรล่าช้าออกไป เพราะมาตรการทางการคลัง โดยการใช้เงินลงทุนจากงบประมาณ 2563 เป็นสิ่งที่นักลงทุนคาดหวัง และเป็นตัวเดียวที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัวให้ฟื้นขึ้นมาได้ หากมีปัญหาเบิกจ่ายได้ล่าช้าไปอีก จะทำมีผลกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด มองว่าโอกาสที่ประเทศไทยจะกลับไปเติบโตที่ระดับ 4% อย่างที่เคยทำได้ในช่วงปี 2560-61 ยังไม่น่าจะเป็นไปได้ในช่วงนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจในภาพรวมยังคงชะลอตัว การบริโภคภายในประเทศที่อ่อนกำลังลง ประกอบกับสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสการฟื้นตัวในระยะสั้นนี้ยังไม่น่าเป็นไปได้

นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ยืดเยื้ออาจนำไปสู่ปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากรายได้ฝืดเคืองทำให้คนต้องหันหาเงินกู้เพื่อดูแลค่าใช้จ่ายประจำวัน ยอดการนำเข้าที่ปรับลดลง สะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนกำลังลง และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังไม่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการลงทุนที่เคยคาดว่าจะเกิดขึ้นจากสงครามการค้า

“การบริโภค การลงทุนภายในประเทศ ไม่น่าจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องงบประมาณประจำปี และความเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยให้เรามองว่าเศรษฐกิจจะเติบโตช้า ในขณะที่ความเสี่ยงจากภายนอก ประกอบไปด้วยความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐฯ-จีน และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่าประเทศไทยได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการลงทุนอันเป็นผลมาจากสงครามการค้า หรือการเพิ่มขึ้นของการลงทุนจากต่างชาติ” ดร. ทิม กล่าว

สแตนดาร์ดฯคาดธปท.ลดดอกเบี้ยเหลือ1%กระตุ้นศก.

ดร. ทิม กล่าวว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 29.25 ต่อดอลลาร์ ในสิ้นไตรมาส 1 บัญชีเดินสะพัดเกินดุลของประเทศปรับเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยปกติแล้ว ไตรมาส 1 มักเป็นไตรมาสที่ดีสำหรับบัญชีเดินสะพัดและค่าเงินบาท เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้น ความล่าช้าในการผ่านงบประมาณปี 2563 (ซึ่งเลื่อนมาจากเดือนตุลาคม 2562) น่าจะส่งผลให้การเบิกจ่ายล่าช้า ปัจจัยนี้น่าจะช่วยประคับประคองบัญชีเดินสะพัดในระยะสั้น เนื่องจากความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบลงทุน อาจหมายถึงการลดการนำเข้าสินค้าทุน หรือการเกินดุลการค้าต่อเนื่อง แม้กระนั้น ความเสี่ยงสำคัญที่มีต่อมุมมองค่าเงินบาทแข็งในระยะสั้นของเราคือ โอกาสการใช้มาตรการใหม่ที่เข้มงวดขึ้น เพื่อจำกัดการแข็งค่าของเงินบาท

ทั้งนี้ ดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มการปรับลด อย่างน้อยตลอดไตรมาส 1 นี้ นโยบายการเงินจะยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการดูแลเศรษฐกิจ ในระยะสั้นไม่น่าจะมีมาตรการกระตุ้นทางการคลังที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากงบประมาณปี 2563 ยังอยู่ในกระบวนการประกาศใช้ แม้ว่าการเบิกจ่ายงบประมาณจะเริ่มขึ้น นโยบายการเงินที่เกื้อหนุน หรือดอกเบี้ยในระดับต่ำ ยังคงมีความจำเป็นในการช่วยส่งเสริมการใช้จ่ายทางการคลัง รัฐบาลดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยมุ่งไปที่การบริโภค มากกว่าการลงทุน

“เราคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในไตรมาส 1 ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายลดลงไปทำสถิติใหม่ที่ 1% มุมมองของเราอาจต่างจากตลาด ที่ยังมองว่าดอกเบี้ยนโยบายไม่น่าจะลดลงไปต่ำกว่าสถิติเดิมที่ 1.25% ลังไตรมาส 1 เรามองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงเป็นไปได้อีก หากภาพรวมเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว ค่าเงินบาทยังแข็งค่า การเบิกจ่ายงบได้ล่าช้า รวมถึงการท่องเที่ยวอาจจะได้รับผลจากโรคระบาดและปัญหาฝุ่น ” ดร. ทิม กล่าว